บทสรุปของโค้ชหนุ่ม จากงาน Driving Growth For Your Smart Future
.
หัวใจสำคัญในการลงทุนเพื่ออนาคต คืออะไร?
.
โดยส่วนตัวผมมองว่า มันคือ “เป้าหมาย” เนื่องจากเป้าหมายในชีวิตคนเรานั้นมีแยะแยะมากมายแตกต่างกันไป และแต่ละเป้าหมายก็ต้องอาศัยเงินเป็นเครื่องสนับสนุน ซึ่งในยุคปัจจุบันการเก็บออมเงินเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้
.
ยิ่งในยุคปัจจุบันที่น้องๆ ที่เรียนจบใหม่มีความรู้สึกที่อยากจะดูแลตัวเอง อยากบริหารเงินของตัวเองมากขึ้น รวมไปถึงความคิดของพ่อแม่รุ่นใหม่ที่คิดว่าจะดูแลตัวเองให้ได้ยามเกษียณ โดยไม่พึ่งพาลูกหลาน
.
ดังนั้นการดูแลการเงินตั้งวันที่เริ่มทำงานจึงถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะเป้าหมายแรกซึ่งถือเป็นเป้าหมายสำหรับทุกคน ก็คือ การสร้างความมั่งคั่งให้เพียงพอเลี้ยงดูตัวเองได้ในวันที่หยุดทำงานหรือเกษียณ และถ้าหากมีครอบครัวและมีลูก สิ่งที่ตามมา คือ ค่าใช้จ่ายต่างๆ อาทิ ค่ากิน ค่าอยู่ ค่ากิจกรรมต่างๆ ซึ่งเหล่านี้อาจจะไม่ได้มากอะไร ที่อาจจะแพงหน่อย ก็คือ ค่าเล่าเรียนและค่ารักษาพยาบาลของลูก
.
นอกจากนี้ก็ยังมีเป้าหมายอื่นๆ เพื่อเติมเต็มชีวิตให้มีความสุขอีกด้วย อาทิ เก็บเงินซื้อบ้าน ซื้อรถ เก็บเงินเรียนต่อ ฯลฯ สิ่งสำคัญอันดับแรกจึงขึ้นอยู่กับ การจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมาย และจัดสรรการออมและการลงทุนให้เพียงพอกับทุกเป้าหมายอย่างเหมาะสม และใช้เครื่องมือหรือตัวช่วยที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า จะสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอน
.
เมื่อลำดับเป้าหมายได้อย่างชัดเจนแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาถัดมา ก็คือ เรื่องของ “ความเสี่ยง” ทั้งความเสี่ยงที่ตัวเราเองสามารถรับได้ และความเสี่ยงที่ตัวเป้าหมายเองสามารถรับได้ เช่น ถ้าเป้าหมายมีระยะเวลาสั้น ก็จะรับความเสี่ยงได้น้อย เป็นต้น
.
ถ้าตัวเราและเป้าหมายรับความเสี่ยงได้น้อย การจัดสรรการลงทุนก็อาจต้องเน้นไปที่สินทรัพย์มั่นคง อย่างเช่น เงินฝาก กองทุนรวมตลาดเงินหรือกองทุนตราสารหนี้ ฯลฯ ซึ่งก็ต้องเข้าใจว่า ถ้าลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงเยอะ ก็อาจต้องเก็บออมหรือลงทุนด้วยเงินเยอะสักหน่อย (หรืออาจต้องหารายได้เพิ่ม)
.
แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้มาก ก็มีโอกาสลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น (อย่างเช่น หุ้น หรือกองทุนหุ้น ฯลฯ เพื่อเพิ่มผลตอบแทน และอาจลดระยะเวลาในการบรรลุเป้าหมายได้ด้วย ถ้าผลตอบแทนการลงทุนออกมาดี
.
วิธีสอนการเงินลูกในแบบโค้ชหนุ่ม 👨👩👦👦
.
ผมเชื่อเสมอว่าเด็กๆ เริ่มเรียนรู้เรื่องเงินจากที่บ้าน เพราะฉะนั้นตัวตนทางการเงินของคุณพ่อคุณแม่แต่ละคน จะแอบถูกถ่ายทอดไปยังลูกๆ ผ่านพฤติกรรมที่แสดงออกโดยไม่รู้ตัว
.
ผมและภรรยาเริ่มสอนเรื่องเงินให้ลูกตั้งแต่คุยกันรู้เรื่อง โชคดีที่เราสไตล์การสอนลูกคล้ายกัน คือ แบบ Nurturer (ทำแบบทดสอบผ่าน Money Parenting) ก็เลยสนุกและสร้างกิจกรรมให้ลูกไปในทิศทางเดียวกัน
.
ผมและภรรยาเห็นตรงกันว่าสอนเรื่องการเงินตั้งแต่ที่บ้าน โชคดีอย่างหนึ่งได้ทำทำแบบทดสอบ Money Parenting แล้วทำให้เห็นมุมมองในการสอนลูกๆ ในเรื่องการเงิน
.
การสอนเรื่องเงินให้เด็กอาจต้องใช้เทคนิคที่หลากหลาย เน้นชวนคุย จูงใจ ท้าทาย ทำให้สนุก อย่าบังคับ โดยในช่วงยังเล็ก (ชั้นประถมและมัธยมต้น) จะเน้น 2 เรื่อง คือ “การใช้จ่ายให้คุ้มค่า” ของใช้ถ้าดีจริงๆ ซื้อแล้วใช้ได้นาน ถึงแม้ว่าจะราคาแพงสักหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะคุ้มค่า
.
ส่วนอีกเรื่องคือ “การออม” เพราะนี่คือพื้นฐานที่สำคัญจริงๆ โดยใช้หลักที่ว่า “เหลือเก็บค่อยเอาไปใช้” (Pay Yourself First) เพราะมันคือการจัดสรรเงินในมือตามวัตถุประสงค์ เทียบกับ “เหลือจ่ายค่อยเอาไปเก็บ” แบบนี้มักจะไม่ค่อยได้เก็บได้ออมสักเท่าไหร่
.
เรื่องเงินเราสอนเด็กๆ ได้ตั้งแต่ยังเล็ก แต่อย่าซีเรียสมากเกินไป เด็กแต่ละคนมีความสนใจต่างกัน และควรทำให้เรื่องเงินเป็นเรื่องสนุก คุยกันได้ในครอบครัว ถ้ามีเรื่องไหนที่เราไม่รู้ ก็เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับเขา เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกอย่าง คอยเล่าคอยบอกในทุกจังหวะของการเติบโตของเขา
.
สุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดในการบริหารเงิน ก็คือ “ความสมดุล” หรือความพอดี ก็สอนเขาว่าคนเราไม่ใช่ว่าหาเงินๆ ลงทุนๆ แต่ว่าเราหาเงินเพื่อบริหารชีวิตให้มีความสุข ได้เป้าหมายที่เราต้องการ เติมเต็มความฝันของเราได้ เงินเป็นเรื่องสำคัญ แต่มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งของชีวิต ไม่ใช่ทั้งหมด
.
ส่วนใครที่อยากรู้สไตล์การสอนลูกเรื่องเงิน ลองเข้าไปทำควิซเพื่อค้นหาตัวเองได้ที่ www.eastspring.co.th/money-parenting/quiz-landing
.
หากใครสนใจอยากฟังงานสัมมนา Driving Growth For Your Smart Future ซึ่งเป็น Virtual Seminar สามารถไปชมงานสัมมนาย้อนหลังฟรี ได้ที่ ttbsmartport.virtualeventthailand.com นะครับ
#TheMoneyCoachTH
#EASTSPRINGMONEYPARENTING
#TMBAMANDTFUNDEASTSPRING
#MoneyParentig
