ทำไม สเปน จึงเป็นประเทศแห่ง การท่องเที่ยว? /โดย ลงทุนแมน
ทุกหนแห่งในดินแดนนี้ถูกทาบทาด้วยความมีชีวิตชีวา และแสงสว่าง..
หากเทียบกับประเทศอื่นๆ ในยุโรปแล้ว สเปนมีแสงแดดสาดส่องยาวนานเป็นอันดับต้นๆ
มากถึงปีละ 2,500 ชั่วโมง หรือเฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง และจะยาวนานกว่านี้มากในช่วงฤดูร้อน
นอกจากแสงสว่าง ประเทศในยุโรปใต้แห่งนี้ยังเจิดจ้าไปด้วยมรดกทางวัฒนธรรมทุกยุคทุกสมัย
นับตั้งแต่จักรวรรดิโรมัน อาณาจักรมุสลิมของชาวมัวร์ ไปจนถึงความรุ่งเรืองของยุคแห่งการสำรวจ
สเปนมีรายได้จากการท่องเที่ยวสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก เป็นรองเพียงสหรัฐอเมริกา
ทั้งที่มีพื้นที่เล็กกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 18 เท่า
ประเทศที่เราเคยคิดว่าอยากไปท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี หรือแม้แต่ประเทศไทยเอง ก็มีรายได้จากการท่องเที่ยวไม่เท่า สเปน
ซึ่งในโลกนี้ สเปนเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศ ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือน
มากกว่าจำนวนประชากรในประเทศที่ 47 ล้านคนเกือบ 2 เท่า
World Economic Forum จัดอันดับให้สเปนเป็นที่ 1 ของโลก ในการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยว
สิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจนสร้างรายได้มหาศาลของประเทศนี้
อาจไม่ได้มีแค่ความสว่างไสวทางกายภาพ และวัฒนธรรม
แต่มันเป็นเพราะอะไร มาหาคำตอบกันได้ในบทความนี้
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สเปน จึงเป็นประเทศแห่ง การท่องเที่ยว?
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ย้อนกลับไปในยุคแห่งการสำรวจ ราวศตวรรษที่ 15
สเปน คือมหาอำนาจผู้นำโลกตะวันตกมาค้นพบกับโลกใหม่
เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักเดินเรือผู้ทำงานให้ราชสำนักสเปน
เดินทางรอนแรมข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจนค้นพบทวีปใหม่ในปี ค.ศ. 1492
ไม่นาน กองทัพสเปนก็เข้าบุกยึดอาณาจักรโบราณของชาวพื้นเมือง และครอบครองพื้นที่ทวีปใหม่อันกว้างใหญ่ที่ต่อมาถูกเรียกว่า “อเมริกา” และนำสิ่งของใหม่ๆ มาสู่ยุโรป
มันฝรั่ง ยาสูบ โกโก้ ทองคำ และแร่ธาตุต่างๆ ล้วนหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย จนสเปนกลายเป็นประเทศที่มั่งคั่ง และเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างตระการตา
แต่สงครามหลายต่อหลายครั้งกับมหาอำนาจอื่นๆ ในยุโรป โดยเฉพาะอังกฤษ และฝรั่งเศส
ก็นำมาสู่หนี้สินอันมหาศาล และพาสเปนเข้าสู่ยุคตกต่ำเป็นเวลาหลายร้อยปี
แล้วความรุ่งเรืองก็จบลงด้วยสงครามกลางเมืองที่นำพาสเปนเข้าสู่ยุคเผด็จการยาวนาน 40 ปี
ของจอมพลฟรานซิสโก ฟรังโก ซึ่งเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1936
สเปนผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการดำรงความเป็นกลาง และไม่ให้ความช่วยเหลือฝ่ายสัมพันธมิตร เมื่อสงครามจบลงเรื่องนี้ก็ได้สร้างความไม่พอใจแก่ฝรั่งเศส และอังกฤษผู้ชนะสงคราม
สเปนจึงถูกขัดขวางไม่ให้เข้าร่วมองค์การสหประชาชาติ องค์การนาโต และไม่ได้รับความช่วยเหลือทางการเงินเพื่อฟื้นฟูยุโรปจากสหรัฐอเมริกา ที่เรียกว่า แผนการมาร์แชล
ท่ามกลางเศรษฐกิจยุโรปที่เฟื่องฟู สเปนถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว และจมอยู่กับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากประธานาธิบดีเปรอนแห่งอาร์เจนตินาที่ส่งอาหาร และเนื้อสัตว์มาให้
อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับสเปน และคนในประเทศอาร์เจนตินาก็พูดภาษาสเปนกัน
จนเมื่อเข้าสู่ยุคสงครามเย็น ฝ่ายสหรัฐอเมริกา และพันธมิตรเกรงกลัวการขยายอำนาจของฝ่ายคอมมิวนิสต์ จึงลงนามในสนธิสัญญามอบเงินช่วยเหลือให้สเปนแลกกับการตั้งฐานทัพ และยอมรับสเปนเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติในปี ค.ศ. 1955
สเปนจึงเปิดประเทศอีกครั้ง แต่ในเวลานั้น สเปนไม่ได้มีภาคอุตสาหกรรมการผลิตที่แข็งแกร่งเหมือนประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันตก หนทางเดียวที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ให้กระเตื้องขึ้นมา
ก็คือ “การท่องเที่ยว”
ด้วยชายหาดริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยแสงแดด ล้วนดึงดูดชาวยุโรปเหนือผู้อยู่กับความหนาวเย็น และท้องฟ้าขมุกขมัวให้มาเยือน
แคมเปญการท่องเที่ยวแรกของสเปนก็คือ “Spain is Different”
ด้วยทำเลที่ไม่ไกล ไม่นานชายหาดสเปนก็เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วยุโรป
การท่องเที่ยวสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ จนรัฐบาลของจอมพลฟรังโกสามารถนำเงินมาพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ สร้างระบบชลประทาน โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และพัฒนาประกันสังคมให้ครอบคลุม เศรษฐกิจของสเปนดีขึ้นเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ชาวสเปนยังขาดแคลนก็คือ “เสรีภาพ”
แล้วการถึงแก่อสัญกรรมของจอมพลฟรังโก ในปี ค.ศ. 1975 ก็ทำให้เกิดการปฏิรูปสังคม และการเมืองครั้งสำคัญ ชาวสเปนได้เสรีภาพกลับมาอีกครั้ง การเลือกตั้งในปี ค.ศ. 1976 เปิดทางให้ระบอบประชาธิปไตยหยั่งรากในสเปน
ภาษาท้องถิ่นที่เคยถูกห้ามใช้ในยุคเผด็จการ เช่น ภาษากาตาลันในแคว้นกาตาลุญญาทางตะวันออก และภาษาบาสก์ในแคว้นบาสก์ทางตอนเหนือ ก็ได้รับอนุญาตอีกครั้ง
วัฒนธรรม และประเพณีท้องถิ่นก็เบ่งบานพร้อมกับเสรีภาพในการพูด และการแสดงออก มีงานแสดงศิลปะ คอนเสิร์ต มากมายในกรุงมาดริด ทำให้นอกจากชายหาดแล้ว การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่รัฐบาลสเปนพยายามผลักดัน ทั้งสถานที่ท่องเที่ยว ประเพณี และอาหารท้องถิ่นที่หลากหลาย
การเติบโตของการท่องเที่ยวทำให้มีการสร้างโรงแรมเกิดขึ้น
เชนโรงแรมระดับโลกสัญชาติสเปนถือกำเนิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1950s-1970s หลายแห่ง
เช่น Iberostar Group, Eurostars Hotels, NH Hotel Group และ Meliá Hotels International
รัฐบาลสเปนได้จัดตั้ง El Instituto de Turismo de España หรือ TURESPAÑA ในปี ค.ศ. 1990 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม และวางแผนการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
สิ่งที่สเปนให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว
ไม่ว่าจะเป็นถนน เครือข่ายระบบราง สนามบิน เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางจากเมืองหลักๆ และเมืองชายหาด สู่ภูมิภาคอื่นๆ ที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันไป
เครือข่ายรถไฟความเร็วสูง AVE (Alta Velocidad Española) เป็นสิ่งที่รัฐบาลสเปนเร่งพัฒนาในช่วงปลายทศวรรษ 1980s เพื่อให้ทันกับงานมหกรรมระดับโลกที่สเปนได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในปี 1992 โดยให้กรุงมาดริดที่ตั้งอยู่ใจกลางประเทศเป็นจุดเริ่มต้นของเครือข่าย
งานแรกคืองาน World Expo ที่เซบิยา เมืองใหญ่ทางตอนใต้ ไม่ไกลจากท่าเรือที่โคลัมบัสเริ่มออกเดินทางไปพบโลกใหม่ ด้วยปี 1992 เป็นวาระครบรอบ 500 ปี การเดินทางของโคลัมบัสพอดี งานจึงถูกจัดในธีม “ยุคสมัยแห่งการค้นพบ”
โดยกำหนดปิดงานคือวันที่ 12 ตุลาคม ก็เป็นวันที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ เพราะเป็นวันที่โคลัมบัสเดินทางถึงทวีปอเมริกา
แล้วรถไฟความเร็วสูงสายแรกของสเปนที่เชื่อมระหว่างกรุงมาดริด กับเมืองเซบิยาก็เสร็จทันการจัดงาน World Expo สร้างความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลก
นอกจากงาน World Expo แล้ว อีกงานหนึ่งคือ
มหกรรมโอลิมปิกฤดูร้อน 1992 ที่เมืองบาร์เซโลนา ซึ่งได้มีการขยายสนามบิน สร้างถนนวงแหวนเพื่อรองรับการจราจร ปรับปรุงท่าเรือ และสร้างสนามกีฬาเพื่อรองรับผู้ชมจากทั่วโลก
ปี 1992 จึงเป็นเหมือนปีทองของการแจ้งเกิดของสเปนในเวทีการท่องเที่ยวระดับโลก
ความสำเร็จของทั้ง 2 งาน ทำให้นักท่องเที่ยวมาเยือนสเปนอย่างล้นหลาม
นับตั้งแต่นั้นมา เครือข่ายรถไฟความเร็วสูงของสเปนก็ค่อยๆ ขยายขึ้นเรื่อยๆ
จนปัจจุบัน เครือข่ายนี้ครอบคลุมทั่วประเทศ มีระยะทางกว่า 3,100 กิโลเมตร ยาวเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากประเทศจีน เชื่อมระหว่างเมืองสำคัญในทุกภูมิภาค
จำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้รัฐบาลสเปนหันมาให้ความสำคัญกับ
“การพัฒนาที่ยั่งยืน” โดยเฉพาะความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อม
มีกฎหมายควบคุมการบุกรุกพื้นที่ป่าจากกิจกรรมท่องเที่ยวอย่างเข้มงวด
จัดการน้ำเสียอย่างมีประสิทธิภาพก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ
ควบคุมการปล่อยมลภาวะในเขตเมืองใหญ่ และให้ความสำคัญกับการกำจัดขยะ
สเปนยังวางแผนระยะยาวด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อลดมลภาวะและการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งการเพิ่มสัดส่วนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ที่สเปนมีอย่างเหลือเฟือ
สเปนได้วางแผนไว้ว่า ภายในปี 2030 การผลิตพลังงานไฟฟ้าจะต้องมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน มากกว่า ร้อยละ 70 ของพลังงานทั้งหมด..
สเปนเปิดรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1950s และผ่านการพัฒนาในหลายๆ ด้านจนกลายเป็นประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวอันดับ 1 ของโลกจาก World Economic Forum
ชาวสเปนเข้าใจเป็นอย่างดีว่าชายหาดที่สวยงาม สถานที่และวัฒนธรรมที่ตื่นตาตื่นใจ จะดึงดูดผู้คนให้มาเยือนเป็นครั้งแรก
แต่การเดินทางที่สะดวกสบาย สาธารณูปโภคที่ครบครัน การบริการที่ดี และสภาพแวดล้อมที่ยังคงสมบูรณ์ จะทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจและเลือกที่จะกลับมาเยือนอีกครั้ง
และถึงแม้ว่าโลกเรา จะมีสงคราม การก่อการร้าย หรือโรคระบาด อีกกี่ครั้ง แต่หากจะหาสักประเทศที่เตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อรองรับการท่องเที่ยว และนักท่องเที่ยวทั่วโลกเองก็อยากกลับไปอีกครั้ง
ประเทศนั้นก็คงเป็น “สเปน”..
อ่านซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ในตอนก่อนหน้าทั้งหมดได้ที่แอป Blockdit blockdit.com/download
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - facebook.com/longtunman
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References:
-https://www.researchgate.net/profile/Tatiana_Iniguez-Berrozpe2/publication/261145071_Sustainability_and_tourist_promotion_The_case_of_SPAIN/links/56a2028908ae27f7de289ee3/Sustainability-and-tourist-promotion-The-case-of-SPAIN.pdf?origin=publication_detail
-https://riuma.uma.es/xmlui/bitstream/handle/10630/7488/Art%EDculo%20Preprint%20Tourism%20Management.pdf;jsessionid=E342478E672A137AE0920AFAB4A922A8?sequence=1
-https://www.oecd-ilibrary.org/sites/8ed5145b-en/index.html?itemId=/content/component/8ed5145b-en
-https://www.econstor.eu/bitstream/10419/138734/1/v07-i11-a14-BF02929667.pdf
-https://fsr.eui.eu/electric-vehicles-and-sustainable-development-in-spain/
-สเปน หน้าต่างสู่โลกกว้าง
「เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf」的推薦目錄:
- 關於เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳貼文
- 關於เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
- 關於เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf 在 ลงทุนแมน - เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6 แล้ว... | Facebook 的評價
- 關於เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf 在 เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี | อ่านเล่นเป็นเรื่อง EP047 - YouTube 的評價
เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf 在 ลงทุนแมน Facebook 的最讚貼文
ทำไม สวีเดน จึงเป็นประเทศแห่ง ผู้ประกอบการระดับโลก? /โดย ลงทุนแมน
หากมีการจัดอันดับประเทศในโลก
ไม่ว่าจะเป็น ประเทศที่เหมาะแก่การทำธุรกิจมากที่สุด
หรือประเทศที่มีนวัตกรรมโดดเด่นที่สุด
จะต้องมีชื่อ “สวีเดน” ติดอันดับ Top 5 แทบทุกครั้ง
สวีเดนตั้งอยู่ทางตอนเหนือของทวีปยุโรป มีทิวทัศน์อันสวยงามและเต็มไปด้วยทะเลสาบ
มีขนาดพื้นที่ใกล้เคียงกับประเทศไทย แต่มีประชากรเพียง 10 ล้านคน
ถึงแม้จะมีประชากรน้อย แต่ชาวสวีเดนกลับสร้างสรรค์แบรนด์ระดับโลกประดับไว้ในแทบทุกวงการ
เฟอร์นิเจอร์มีแบรนด์ IKEA
เสื้อผ้ามีแบรนด์ H&M
รถยนต์มี Volvo
ส่วนเทคโนโลยีก็มี Spotify
อะไรที่ทำให้ประเทศที่มีประชากรเพียง 10 ล้านคน
ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ประกอบการ ก่อตั้งบริษัทใหญ่ที่ขายสินค้าให้คนทั้งโลก?
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม สวีเดน จึงเป็นประเทศแห่ง ผู้ประกอบการระดับโลก?
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ. 2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
สวีเดนเป็นหนึ่งในกลุ่มประเทศที่เรียกว่า สแกนดิเนเวีย
ร่วมกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเดนมาร์ก และนอร์เวย์
ผู้คนในประเทศเหล่านี้ เป็นลูกหลานของบรรพบุรุษชาวไวกิง ที่มีฝีมือขึ้นชื่อในเรื่องของการสู้รบและการเดินเรือ
ด้วยการทำอาวุธและการต่อเรือนี่เอง ที่ทำให้ทักษะงานช่าง และความเป็นนักประดิษฐ์
แฝงอยู่ในสายเลือดของชาวสวีเดนมาตั้งแต่ยุคโบราณ
สวีเดนเป็นประเทศที่มีประชากรน้อย สินค้าและบริการที่ถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมา
จึงจำเป็นที่จะต้องมีตลาดต่างประเทศเป็นฐานรองรับ
“การขายสินค้าให้คนทั้งโลก” จึงเป็นความตั้งใจหลักของผู้ประกอบการชาวสวีเดน
แต่การที่จะมี Vision ในการขายสินค้าให้คนทั้งโลกไม่ใช่เรื่องง่าย
ชาวสวีเดนจำเป็นต้องมี Action ซึ่งเกิดจากองค์ประกอบหลายประการร่วมกัน
ประการแรก คือ “องค์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์”
รู้หรือไม่ว่า สิ่งรอบตัวที่เราพบเห็นในปัจจุบัน ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากการประดิษฐ์คิดค้น
ของนักวิทยาศาสตร์ชาวสวีเดน ไม่ว่าจะเป็น อุณหภูมิองศาเซลเซียส,
ชื่อวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิต และระเบิดไดนาไมต์
ความรุ่งเรืองทางวิทยาการมีจุดเริ่มต้นย้อนไปในศตวรรษที่ 15
เมื่อมีการตั้งมหาวิทยาลัยแห่งแรกในแถบสแกนดิเนเวีย คือ มหาวิทยาลัยอุปซอลา
(Uppsala Universitet) ในเมืองอุปซอลา ทางตอนเหนือของกรุงสต็อกโฮล์ม
เมื่อสวีเดนประกาศใช้รัฐธรรมนูญที่จำกัดอำนาจของราชวงศ์ในปี ค.ศ. 1719
กลายเป็นรากฐานของประชาธิปไตยและเสรีภาพ นำมาสู่ความเบ่งบานทางวิชาการและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ โดยมีมหาวิทยาลัยอุปซอลาเป็นกำลังสำคัญ ที่ผลิตบุคคลป้อนเข้าสู่แวดวงวิชาการ
ทั้ง Anders Celsius ผู้พัฒนาระบบการแบ่งช่องในเทอร์โมมิเตอร์สำหรับวัดอุณหภูมิ ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่า “องศาเซลเซียส” ตามชื่อของเขา
Carl Linnaeus นักพฤกษศาสตร์ผู้ริเริ่มการจัดแบ่งสิ่งมีชีวิตออกเป็นหมวดหมู่ นำมาสู่การตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากในการศึกษาชีววิทยา
Linnaeus ยังเป็นผู้ก่อตั้งสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน ในปี ค.ศ. 1739
ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในยุคต่อมา
โดยเฉพาะการก่อตั้ง KTH Royal Institute of Technology ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ในปี ค.ศ. 1824 ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทางด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยีที่ผลิตนักประดิษฐ์มากมาย
หนึ่งในนั้นคือพ่อของนักประดิษฐ์ชาวสวีเดนผู้ยิ่งใหญ่ Alfred Nobel
Alfred Nobel ได้รับความรู้ด้านการประดิษฐ์คิดค้นมาจากผู้เป็นพ่อ ต่อมาเมื่อย้ายไปอยู่รัสเซียได้ศึกษาด้านเคมีจนสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์มากมาย โดยเฉพาะ “ระเบิดไดนาไมต์” ที่ช่วยปฏิวัติการทำเหมืองแร่
Nobel เป็นผู้นำสิ่งประดิษฐ์มาแปรเป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ทำรายได้มหาศาล
ในช่วงบั้นปลายชีวิตเขาได้ตัดสินใจก่อตั้งรางวัลโนเบล
รางวัลที่เป็นเกียรติยศสูงสุดที่มนุษย์คนหนึ่งจะได้รับจากความสำเร็จของการศึกษาวิจัยค้นคว้า
ถึงแม้จะมีวิทยาการที่ก้าวหน้า แต่ปัญหาการเมืองและความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านก็ทำให้สวีเดนเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมช้ากว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรปหลายสิบปี
แต่ข้อได้เปรียบของสวีเดนคือการมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์
โดยเฉพาะป่าไม้ และแร่เหล็ก สิ่งเหล่านี้เป็นที่ต้องการอย่างมากของประเทศที่กำลังรุ่งโรจน์ในการปฏิวัติอุตสาหกรรมอย่างเยอรมนีและฝรั่งเศส สวีเดนจึงดึงดูดการลงทุนจากนักธุรกิจของประเทศเหล่านี้
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จึงเริ่มมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่รอบๆ กรุงสต็อกโฮล์มและเขตเมืองใหญ่
ในขณะที่ภาคเกษตรกรรมก็ปรับเปลี่ยนเพื่อตอบสนองต่อการค้าขายกับต่างประเทศมากยิ่งขึ้น โดยเปลี่ยนจากระบบหมู่บ้านที่เกษตรกรจะอาศัยทำกินในที่ดินร่วมกัน กลายเป็นต่างคนต่างเพาะปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิต
แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วครั้งนี้ ก็ทำให้ครัวเรือนเกษตรกรจำนวนมากปรับตัวไม่ทัน
ในขณะที่ช่วงเวลาไล่เลี่ยกันที่อีกซีกโลกหนึ่ง ประเทศน้องใหม่อย่างสหรัฐอเมริกากำลังขยายประเทศ
มีกฎหมายที่สนับสนุนให้มีการขายที่ดินในราคาถูกจนเหมือนให้เปล่าแก่ผู้ที่กล้าเดินทางไปตั้งถิ่นฐานยังแถบตะวันตก
สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือ ครัวเรือนเกษตรกรเกือบ 1 ล้านคน ตัดสินใจอพยพไปตั้งถิ่นฐานยังสหรัฐอเมริกา
ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 4 ของประชากรสวีเดนในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างในครั้งนั้นเอง ได้นำมาสู่ปัจจัยสำคัญต่อการสร้างแบรนด์ของสวีเดน
นั่นก็คือ..
ประการที่ 2 “ความเท่าเทียม”
การอพยพออกจากประเทศครั้งใหญ่ของชาวสวีเดนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง 2 ประการ
ประการแรก ทำให้ประชากรวัยแรงงานลดลงอย่างมาก เมื่อสวีเดนปฏิวัติอุตสาหกรรมและมีโรงงานที่ต้องการแรงงานเพิ่มมากขึ้น ผลที่ได้คือ แรงงานที่เหลืออยู่ได้รับค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น
ประการต่อมา เมื่อรัฐสภาได้สำรวจสาเหตุของการอพยพอย่างจริงจัง
เผยให้เห็นปัญหาที่ซุกซ่อนอยู่มานาน นั่นก็คือ ความยากจน และความไม่เท่าเทียมในสังคม
เมื่อปัญหาสังคมถูกเปิดเผย ประกอบกับผู้คนที่มีรายได้มากขึ้น จึงเริ่มมีการเรียกร้องสิทธิต่างๆ ท้ายที่สุดก็นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งสำคัญที่สุดของสวีเดน นั่นคือ
“ก่อกำเนิดรัฐสวัสดิการ”
สหภาพแรงงานถูกจัดตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1898 เพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของผู้ใช้แรงงานในโรงงานอุตสาหกรรม
รัฐบาลที่มาจากพรรคสังคมประชาธิปไตยได้ให้การช่วยเหลือแรงงานในการเจรจาข้อตกลงกับเหล่านายทุน จนกลายเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เหล่าแรงงานมีสวัสดิการการทำงานที่ดีมากขึ้น
ทั้งการได้รับเงินสมทบ การลาพักร้อน และการประกันอุบัติเหตุระหว่างทำงาน
ในขณะที่สังคมทั่วไปก็มีระบบบำนาญสำหรับผู้สูงอายุ เงินช่วยเหลือสำหรับคนยากจนและคนพิการ เงินอุดหนุนเด็กและการศึกษา
จากจุดเริ่มต้น ระบบสวัสดิการของสวีเดน หรือ “Swedish Model” ถูกพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ
จนได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
สร้างความรู้สึกมั่นคงให้กับชาวสวีเดนตั้งแต่ลืมตาดูโลกจนถึงลมหายใจสุดท้าย
สิ่งนี้กลายเป็นส่วนผลักดันให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
เมื่อรวมกับการที่สวีเดนดำรงความเป็นกลางในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง
ผลที่ได้คือ เศรษฐกิจของสวีเดนเริ่มเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงหลังสงครามโลก
ความเท่าเทียมกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญของสังคมสวีเดน
การมองว่าทุกคนมีความเสมอภาคที่จะได้รับคุณภาพชีวิตที่ดี ถูกถ่ายทอดมาสู่การสร้างสินค้า
และกลายเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของแบรนด์สวีเดน..
Volvo รถยนต์ที่พลิกหน้าประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมยานยนต์ด้วยแนวคิดเรื่อง “ความปลอดภัย” นำไปสู่การคิดค้นเข็มขัดนิรภัย และยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนที่นั่งอยู่บนรถ
IKEA แบรนด์เฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งบ้านที่มีความหลากหลาย ดีไซน์สวยงาม พร้อมทั้งประโยชน์ใช้สอยคุ้มค่า ในราคาที่ผู้คนทั่วไปเป็นเจ้าของได้
H&M ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นที่ดูดี แต่ก็ยังคงไว้ด้วยราคาที่ทำให้คนทั่วไปสามารถหาซื้อได้ง่ายในราคาสบายกระเป๋า
สินค้าสวีเดนไม่ใช่สินค้าหรูหราราคาแพง แต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม
และด้วยความเข้าถึงได้นี่เอง จึงทำให้แบรนด์สวีเดนค่อยๆ ก้าวขึ้นมาตีตลาดโลกจนเป็นผลสำเร็จ
ทศวรรษ 1970s - 1990s เมื่อแบรนด์เหล่านี้ออกสู่ตลาดโลก เศรษฐกิจของสวีเดนจึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด
แต่สวัสดิการสังคมที่ดีก็นำมาสู่ปัญหาค่าใช้จ่ายของภาครัฐ
อีกทั้งการเติบโตด้านอุตสาหกรรมของประเทศในเอเชีย ทำให้บริษัทสวีเดนเริ่มประสบปัญหาในการแข่งขัน
แบรนด์สวีเดนจะอยู่อย่างยั่งยืนไม่ได้ โดยปราศจากปัจจัยสุดท้าย ซึ่งก็คือ..
ประการที่ 3 การวางแผนจากรัฐบาล
เมื่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ของประเทศในแถบเอเชียเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทสวีเดนเริ่มสูญเสียศักยภาพในการแข่งขัน
เมื่อรวมกับปัญหาค่าใช้จ่ายของภาครัฐ ทำให้รัฐบาลสวีเดนต้องเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ
องค์กรรัฐวิสาหกิจหลายแห่งถูกปฏิรูป เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของรัฐบาล
ทั้งลดจำนวนคน และเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามาแข่งขัน
อุตสาหกรรมหลายด้าน โดยเฉพาะเหล็กและยานยนต์ ถูกปรับให้มีความเฉพาะทางมากขึ้น
และจำเป็นที่จะต้องบุกเบิกอุตสาหกรรมใหม่ๆ นั่นคือ “อุตสาหกรรมเทคโนโลยี”
ปี ค.ศ. 1991 กระทรวงอุตสาหกรรมของสวีเดน ได้เปลี่ยนชื่อเป็น
กระทรวงผู้ประกอบการ และนวัตกรรม (Ministry of Enterprise and Innovation)
ที่ให้ความสำคัญในการวางนโยบายให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถนำเทคโนโลยีมาพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมที่จะนำมาสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี การให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
การสนับสนุนงบประมาณคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล การพัฒนาหลักสูตรด้านเทคโนโลยีตั้งแต่ในโรงเรียน รวมถึงสนับสนุนงบประมาณร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชนในการวิจัยและพัฒนา
การลดภาษีนิติบุคคล จากอัตราสูงถึง 52% ในปี ค.ศ. 1990 เหลือประมาณ 22%
และลดภาษีสำหรับบริษัทที่ก่อตั้งมาไม่เกิน 10 ปี มีพนักงานไม่เกิน 50 คน และมีรายได้ไม่เกิน 80 ล้านโครนาสวีเดน หรือประมาณ 290 ล้านบาทต่อปี เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กที่มีความสามารถ โดยเฉพาะบริษัทสตาร์ตอัป สามารถเข้ามาแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้
จากการทุ่มเทเป็นเวลามากกว่า 10 ปี สวีเดนก็ให้กำเนิดบริษัทใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีและบริการ หนึ่งในนั้นคือ..
“Spotify” บริษัทที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2006
ทำธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มฟังเพลงออนไลน์ที่นำเอาเทคโนโลยี AI มาวิเคราะห์ประวัติการฟังเพลงในอดีต เพื่อแนะนำ Playlist ที่น่าจะเหมาะกับความชอบส่วนตัวของแต่ละคน และต่อยอดมาสู่การเป็นแพลตฟอร์ม Podcast ที่นักฟังทั่วโลกคุ้นเคย
ปัจจุบัน สวีเดนเป็นประเทศที่ใช้งบวิจัยและพัฒนาสูงมาก คิดเป็นสัดส่วนถึง 3.37% ของ GDP
และจัดอยู่ในระดับ Top 5 ของโลกที่ใช้งบวิจัยและพัฒนาต่อ GDP สูงสุด
ซึ่งนอกจากงานวิจัยด้านเทคโนโลยีแล้ว สวีเดนยังเน้นหนักไปในการวิจัยด้านเทคโนโลยีชีวภาพ จนสามารถสร้างบริษัทระดับโลกด้านการแพทย์ เช่น
AstraZeneca บริษัทยาสัญชาติสวีเดน-อังกฤษ ที่เป็นหนึ่งในผู้พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19
BioGaia บริษัทที่เป็นผู้นำในด้านการพัฒนาจุลินทรีย์โพรไบโอติก
สวีเดนยังมีกฎหมายที่อนุญาตให้พนักงานบริษัทสามารถลางานได้ถึง 6 เดือน แล้วออกไปเริ่มต้นทำธุรกิจของตนเอง เพื่อต้องการกระตุ้นให้ประชาชนมีวิธีคิดแบบผู้ประกอบการ และริเริ่มสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆสู่สังคม
มาถึงตรงนี้ การที่แบรนด์สวีเดนเติบโตจนเป็นแบรนด์ระดับโลก
ไม่ได้เกิดจาก Vision หรือเป้าหมายของผู้ประกอบการที่จะขายคนทั้งโลกเพียงอย่างเดียว
แต่ต้องมี Action คือ การพัฒนาองค์ประกอบหลายๆ ด้านไปพร้อมกัน
ทั้งองค์ความรู้ ที่ต่อยอดจากวิทยาศาสตร์พื้นฐาน มาสู่นวัตกรรมขั้นสูง
ความเท่าเทียมของผู้คน ที่ส่งผลให้แบรนด์สวีเดนสามารถตอบโจทย์ความต้องการของคนส่วนใหญ่
และนโยบายจากภาครัฐ ที่สนับสนุนการวิจัยและพัฒนา เอื้อต่อการลงทุน และเปิดโอกาสให้ภาคธุรกิจได้พัฒนาต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
แบรนด์สวีเดนสามารถเข้าถึงคนได้ทั่วโลก และประเทศแห่งนี้ก็สร้างผู้ประกอบการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
บนโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกวัน มีไอเดียและความฝันเกิดขึ้นมากมาย
ประเทศแห่งนี้เตรียมพร้อมทุกอย่างที่จะทำให้สิ่งเหล่านั้น กลายเป็นความจริง
“สวีเดน”..
อ่านซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ในตอนก่อนหน้าทั้งหมดได้ที่แอป Blockdit blockdit.com/download
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ. 2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://eh.net/encyclopedia/sweden-economic-growth-and-structural-change-1800-2000/
-https://www.independent.co.uk/news/business/news/sweden-s-technology-powerhouse-shows-brexit-britain-positive-way-fix-its-ailing-economy-a8118641.html
-https://www.departures.com/lifestyle/home-design/swedish-companies-rule-the-world
-http://www.thaifta.com/thaifta/Portals/0/Sweden360_sep57.pdf
-https://www.government.se/contentassets/cbc9485d5a344672963225858118273b/the-swedish-innovation-strategy
-https://data.worldbank.org/indicator/GB.XPD.RSDV.GD.ZS
เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
ทำไม เบลเยียม จึงเป็นประเทศแห่ง ช็อกโกแลต? /โดย ลงทุนแมน
หากพูดถึงประเทศเบลเยียม สินค้าขึ้นชื่อที่หลายคนจะนึกถึงก็คือ ช็อกโกแลต
และหากเอ่ยถึงช็อกโกแลตที่ดีที่สุด ช็อกโกแลตจากเบลเยียมจะเป็นหนึ่งในนั้น
ความขม และความหวานผสมผสานอยู่ในวิถีชีวิตของชาวเบลเยียม
ในประเทศที่มีพื้นที่เพียง 30,280 ตารางกิโลเมตร ขนาดเล็กกว่าไทย 17 เท่า
เมืองทุกเมืองไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่จะมีร้านช็อกโกแลตที่มีชื่อเสียงตั้งอยู่อย่างน้อยหนึ่งร้าน
โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างกรุงบรัสเซลส์ ที่มีร้านช็อกโกแลตตั้งอยู่แทบทุกหัวมุมถนน
จนได้รับฉายาว่า “เมืองหลวงแห่งช็อกโกแลต”
เบลเยียมส่งออกช็อกโกแลตมากเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากเยอรมนี
ด้วยมูลค่าปีละเกือบ 100,000 ล้านบาท
ทั้งที่ประเทศนี้มีพื้นที่เล็กกว่าเยอรมนี 10 เท่า
แน่นอนว่า ประเทศเขตหนาวอย่างเบลเยียมย่อมไม่มีพื้นที่เพียงพอสำหรับการปลูกโกโก้
ซึ่งเป็นวัตถุดิบตั้งต้นของช็อกโกแลต
แล้วอะไรที่ทำให้ประเทศเล็กๆ ที่แทบไม่มีพื้นที่สำหรับปลูกวัตถุดิบตั้งต้น
ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกช็อกโกแลตระดับโลก?
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม เบลเยียม จึงเป็นประเทศแห่ง ช็อกโกแลต?
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ช็อกโกแลตเป็นผลผลิตจากเมล็ดของต้นโกโก้ ซึ่งเป็นพืชเขตร้อน ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่แถบอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในเม็กซิโก
ชนพื้นเมืองของจักรวรรดิแอซเท็ก อารยธรรมดั้งเดิมแถบเม็กซิโก มีการใช้เมล็ดโกโก้แทนเงินตราเนื่องจากเป็นสิ่งหายาก ในขณะที่ชนชั้นสูงจะนำเมล็ดมาต้มเป็นเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ที่เรียกว่า ช็อกโกแลต (Chocolatl)
แล้วพืชเขตร้อนจากเม็กซิโก เดินทางมาถึงประเทศเขตหนาวอย่างเบลเยียมได้อย่างไร?
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นในยุคแห่งการสำรวจ..
ศตวรรษที่ 15 เมื่อคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส นักสำรวจผู้ทำงานให้กับราชสำนักสเปน เดินทางจากยุโรปมาค้นพบทวีปอเมริกา
หลังจากนั้น ชาวสเปนที่มีทั้งอาวุธและโรคร้ายก็ค่อยๆ เข้ามาครอบครองดินแดนแห่งใหม่ ในที่สุดก็สามารถยึดดินแดนของชาวแอซเท็กเป็นอาณานิคมได้ในที่สุด
สินค้าจากทวีปใหม่ถูกขนกลับเข้าสู่ยุโรป ไม่ว่าจะเป็น ทองคำ ทองแดง
ไปจนถึงพืชเขตร้อนอย่างมันฝรั่ง ยาสูบ และโกโก้
แต่ในเวลานั้น เมืองท่าที่สำคัญที่สุดของสเปน ไม่ได้ตั้งอยู่บนแผ่นดินสเปน แต่กลับอยู่ในดินแดนอารักขาของสเปนที่เรียกว่า “แฟลนเดอร์” ดินแดนที่ราบทางตอนเหนือของยุโรป
โดยเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของแถบแฟลนเดอร์
คือเมืองแอนต์เวิร์ป ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศเบลเยียม
โดยชาวสเปนนำเครื่องดื่มช็อกโกแลตมาเผยแพร่ และมีการใส่น้ำตาลผสมลงไป ทำให้กลายเป็นเครื่องดื่มรสหวาน ชาวเบลเยียมจึงผูกพันกับโกโก้และช็อกโกแลตมาตั้งแต่ยุคแห่งการสำรวจ
แต่ความนิยมในการดื่มช็อกโกแลตร้อนยังคงจำกัดอยู่ในแวดวงขุนนางและชนชั้นสูงชาวสเปน เนื่องจากการปลูกโกโก้ยังมีจำกัดอยู่ในอเมริกา และมีราคาสูงมาก
จนถึงยุคจักรวรรดินิยมในช่วงปลายศตวรรษที่ 19
เมื่อชาวยุโรปแข่งกันล่าอาณานิคมเขตร้อนในทวีปแอฟริกาและเอเชีย
มหาอำนาจหลายประเทศจากยุโรปเริ่มได้ครอบครองดินแดนชายฝั่งของแอฟริกา
มีการนำโกโก้มาปลูกในดินแดนอาณานิคมและขนส่งกลับยุโรป
และเมื่อมีวัตถุดิบมากขึ้น เครื่องดื่มช็อกโกแลตก็ไม่ได้ถูกจำกัดอยู่กับชนชั้นสูงอีกต่อไป
ส่วน เบลเยียม เพิ่งก่อตั้งประเทศในปี ค.ศ. 1830 และเป็นเพียงอาณาจักรเล็กๆ แต่ก็ยังอยากครอบครองดินแดนในทวีปแอฟริกา
ท้ายที่สุด ในสมัยพระเจ้าลีโอโปลด์ที่ 2 เบลเยียมก็ได้ครอบครองป่าดงดิบขนาดใหญ่ใจกลางทวีป และเรียกดินแดนแห่งนี้ว่า “คองโกของเบลเยียม”
ความพิเศษของดินแดนคองโก คือตั้งอยู่บริเวณเส้นศูนย์สูตรพาดผ่านพอดี จึงมีฝนตกชุกตลอดปี เป็นภูมิอากาศที่เหมาะกับการเจริญเติบโตของโกโก้ เบลเยียมจึงเริ่มมีแหล่งผลิตโกโก้เป็นของตัวเอง
แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณโกโก้ที่เบลเยียมผลิตได้ก็ยังเป็นจำนวนน้อยมาก และเมื่อช็อกโกแลตเริ่มแพร่หลายในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 เบลเยียมก็กลายเป็นหนึ่งในประเทศที่นำเข้าช็อกโกแลตมากที่สุดในยุโรป
แล้วเบลเยียมเปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้า ก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกได้อย่างไร?
สิ่งสำคัญที่สุด อยู่ที่ทำเลที่ตั้ง..
เบลเยียมตั้งอยู่ปากแม่น้ำ ติดกับมหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยทำเลที่ดี เบลเยียมจึงเป็นดินแดนแห่งการขนส่งและการค้าขายมาตั้งแต่ยุคกลาง
ดินแดนแห่งนี้ดึงดูดทั้งพ่อค้า นายธนาคาร และนักประดิษฐ์ให้เข้ามาตั้งรกราก ชาวเบลเยียมจึงมีลักษณะของความเป็นพ่อค้า คือค้าขายเก่ง และพูดได้หลายภาษาทั้งดัตช์ ฝรั่งเศส และเยอรมัน
และด้วยทำเลที่อยู่ระหว่างมหาอำนาจ ตอนเหนือติดกับเนเธอร์แลนด์ ตอนใต้ติดกับฝรั่งเศส ด้านตะวันออกติดกับเยอรมนี อีกคุณลักษณะที่สำคัญที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเบลเยียม คือปรับตัวเก่ง และมีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ
ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เองก็ทำให้ชาวเบลเยียมสามารถนำความรู้และวิทยาการของมหาอำนาจรอบตัว มาคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ที่นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการช็อกโกแลต
และเปลี่ยนจากประเทศผู้นำเข้ากลายเป็นผู้ส่งออกช็อกโกแลตได้ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
สิ่งประดิษฐ์แรก คือ “Praline” หรือ ช็อกโกแลตสอดไส้
ในปี ค.ศ. 1857 เภสัชกร Jean Neuhaus
ได้ย้ายมาเปิดร้านขายยาใกล้ๆ กับจัตุรัสใจกลางกรุงบรัสเซลส์
ด้วยความตั้งใจที่อยากจะแก้ปัญหาให้กับผู้ป่วยที่ไม่กินยา
เขาจึงได้นำช็อกโกแลตมาเคลือบยา เพื่อกลบรสขม และทำให้ผู้ป่วยกินยาได้ง่ายขึ้น
จนร้านยาของเขามีชื่อเสียงโด่งดัง
ต่อมาในปี ค.ศ. 1912 หลานชาย Jean Neuhaus Junior ได้นำไอเดียของคุณปู่มาต่อยอด
โดยเขาได้คิดค้นช็อกโกแลตที่มีไส้สอดตรงกลางเรียกว่า “Praline” (พราลีน) และให้กำเนิดร้านขายช็อกโกแลตภายใต้แบรนด์ “Neuhaus”
ในอีก 3 ปีต่อมา Louise Agostini ภรรยาของเขา ยังเป็นผู้คิดค้นกล่องสี่เหลี่ยมสำหรับบรรจุช็อกโกแลต Praline โดยเฉพาะ ที่เรียกว่า “Ballotin”
สิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่ 2 คือ “Batton” หรือ ช็อกโกแลตแท่งขนาดเล็ก
ชาวดัตช์เป็นผู้ริเริ่ม ที่ทำให้เครื่องดื่มช็อกโกแลต
กลายเป็น “ช็อกโกแลตแท่ง” อย่างที่พวกเราคุ้นเคยกันในปัจจุบัน
แต่ชาวเบลเยียมชื่อว่า Kwatta เป็นผู้ทำให้ขนาดของช็อกโกแลตแท่งกลายเป็นแท่งเล็กๆ ขนาดเพียง 30-45 กรัม สะดวกต่อการพกพาและสามารถเป็นขนมขบเคี้ยวได้
สิ่งประดิษฐ์ชิ้นที่ 3 คือ “Couverture chocolate” หรือ ช็อกโกแลตแท้สำหรับแปรรูป’
ในกระบวนการผลิตช็อกโกแลต จากต้นกำเนิดคือเมล็ดโกโก้ จะต้องมีการนำมาคั่ว ผ่านหลายขั้นตอนจนกว่าจะมาเป็นช็อกโกแลต
แต่การคิดค้น Couverture Chocolate โดย Octaaf Callebaut ในปี ค.ศ. 1925 ช่วยย่นระยะเวลาของขั้นตอนเหล่านี้ลง
Couverture Chocolate หรือหลายคนอาจเรียกว่า กระดุมหรือเหรียญช็อกโกแลต
กลายเป็นสารตั้งต้นช็อกโกแลตที่ทำให้การทำช็อกโกแลตง่ายขึ้นมาก สามารถนำมาแปรรูปเป็นขนมหวานได้หลายชนิด และทำให้แบรนด์ “Callebaut” กลายเป็นผู้นำในการส่งออกช็อกโกแลตแท้สำหรับแปรรูปรายสำคัญของโลก
สิ่งประดิษฐ์ทั้ง 3 ช่วยเปลี่ยนช็อกโกแลตของเบลเยียมให้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในวงการช็อกโกแลตโลก และเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่แบรนด์ช็อกโกแลตเบลเยียมเริ่มมีชื่อเสียง
ทั้งแบรนด์ Leonidas ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1913 เป็นแบรนด์ช็อกโกแลตแบรนด์แรกที่มีการตกแต่งร้าน ให้ลูกค้าที่มาซื้อช็อกโกแลตสามารถมองเห็นกระบวนการผลิตช็อกโกแลตได้ทั้งหมด
แบรนด์ Godiva ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1929 เป็นแบรนด์ช็อกโกแลต Praline ที่สร้างสตอรีของแบรนด์ด้วยการใช้เรื่องราวของเลดี้โกไดวา วีรสตรีในตำนานของอังกฤษ ที่ใช้ความกล้าต่อสู้กับความอยุติธรรม จนเมื่อช็อกโกแลตได้รับความนิยม Godiva จึงเริ่มขยายไปตั้งสาขาที่ต่างประเทศ โดยเริ่มที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1958
ไม่นาน จากประเทศผู้นำเข้าช็อกโกแลต เบลเยียมก็ก้าวขึ้นมากลายเป็นผู้ส่งออกช็อกโกแลตรายใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อมีการจัดงาน World Expo ที่กรุงบรัสเซลส์ในปี ค.ศ. 1958
รัฐบาลและภาคอุตสาหกรรมของเบลเยียมได้ร่วมกันโปรโมตช็อกโกแลตเบลเยียมสู่สายตาชาวโลก
แบรนด์ช็อกโกแลตเบลเยียมก็เริ่มขยายร้านไปตั้งสาขาอยู่นอกประเทศ
และบุกตลาดโลก ด้วยการตั้งสาขาในทวีปอเมริกา และทวีปเอเชีย
ไม่ใช่แค่ปริมาณเท่านั้น แต่การกำหนดและควบคุมคุณภาพก็เป็นอีกประเด็นที่สำคัญมากๆ
ผู้ผลิตช็อกโกแลตกว่า 170 บริษัท ได้รวมตัวกันเพื่อจัดตั้ง The Royal Belgian Association of the Chocolate, Pralines, Biscuit and Confectionary หรือ Choprabisco
เพื่อที่จะควบคุมการผลิตช็อกโกแลตเบลเยียมให้คงมาตรฐาน
ตัวอย่างเช่น ช็อกโกแลตเบลเยียมจำเป็นต้องใช้โกโก้บริสุทธิ์เป็นส่วนผสมขั้นต่ำ 35%
และทุกกระบวนการการผลิตช็อกโกแลตจะต้องทำขึ้นในประเทศเบลเยียม
ถ้าบริษัทไหนในเบลเยียมทำได้ตามมาตรฐานนี้
ก็ถึงจะเรียกได้ว่าเป็นช็อกโกแลตจากประเทศเบลเยียม
และสามารถใช้คำว่า “Belgian Chocolate” อยู่บนผลิตภัณฑ์ได้
นอกจากคุณภาพแล้ว เบลเยียมยังไม่หยุดที่จะพัฒนา..
มีการวิจัยและพัฒนาช็อกโกแลตเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยมีสถาบัน เช่น University of Ghent ในเมือง Ghent ได้จัดตั้งหน่วยวิจัย Cacao Lab เพื่อพัฒนาวัตถุดิบ คัดสรรโกโก้ที่ดีที่สุด ตลอดจนพัฒนาผลิตภัณฑ์ช็อกโกแลตใหม่ๆ ออกสู่ตลาด
โดยเฉพาะโกโก้ที่ใช้ทำช็อกโกแลต มีงานวิจัยว่าจะต้องถูกบดละเอียดจนมีขนาดเล็กกว่า 20 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่าระยะห่างของตุ่มรับรสในลิ้น เพื่อให้ได้ช็อกโกแลตที่มีสัมผัสนุ่มละมุน
จากจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้นำเข้าช็อกโกแลต ชาวเบลเยียมได้ต่อยอด คิดค้น และหาช่องว่างในการพัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งวงการช็อกโกแลตที่คนทั้งโลกยอมรับ
ช็อกโกแลตของเบลเยียมไม่ได้เป็นที่สุดในด้านคุณภาพเท่านั้น
แต่แสดงถึงการมีอยู่ของความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลานับ 100 ปี ของคนในประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีเพียงพอแม้แต่พื้นที่ปลูกโกโก้ และต้องนำเข้าโกโก้เป็นมูลค่าถึงปีละเกือบ 20,000 ล้านบาท แต่กลับสามารถรังสรรค์ช็อกโกแลตคุณภาพสูงที่เข้มข้น นุ่มละมุน และจะละลายทันทีเมื่อนำเข้าปาก
หากถามว่าอะไรที่จะแปรรูปจากเมล็ดโกโก้ธรรมดาให้กลายเป็นช็อกโกแลตเลิศรส?
“ความคิดสร้างสรรค์” ก็คงเป็นคำตอบสำคัญที่สุด สำหรับชาวเบลเยียม..
อ่านซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ในตอนก่อนหน้าทั้งหมดได้ที่แอป Blockdit blockdit.com/download
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
สั่งซื้อได้ที่ (รับส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
Spotify - open.spotify.com/show/4jz0qVn1AL7tRMHiTvMbZH
Apple Podcasts - podcasts.apple.com/th/podcast/ลงท-นแมน/id1543162829
Soundcloud - soundcloud.com/longtunman
References
-https://theculturetrip.com/europe/belgium/articles/a-brief-history-of-belgian-chocolate/
-http://www.worldstopexports.com/chocolate-exporters/
-https://www.aocs.org/stay-informed/inform-magazine/featured-articles/the-secrets-of-belgian-chocolate-may-2012?SSO=True
-https://www.econstor.eu/bitstream/10419/126506/1/827122217.pdf
-https://data.worldbank.org/indicator/AG.LND.TOTL.K2?locations=IT-BE-DE-TH
-https://www.waterbridge.net/blog/brief-history-of-belgian-chocolate.html
-https://www.pilotguides.com/articles/belgian-chocolate/
-https://www.godiva.com/chocolate-belgium-heritage-1
-https://www.ugent.be/en/ghentuniv/facilities/giftshop/cacaolab.htm
เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf 在 เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี | อ่านเล่นเป็นเรื่อง EP047 - YouTube 的推薦與評價

เราจะพาคุณย้อนไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ สังคม และการเมือง ที่ต่างก็เกี่ยวโยงกับ เศรษฐกิจ ด้วยกันทั้งสิ้นกับหนังสือที่ย่อ โลกเศรษฐกิจ ตั้งแต่สมัยอดีต ... ... <看更多>
เศรษฐกิจโลก 1000 ปี pdf 在 ลงทุนแมน - เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6 แล้ว... | Facebook 的推薦與評價
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6 แล้ว หนังสือเล่มนี้ใครๆก็บอกว่าอ่านแล้ววางไม่ลง. Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000- ... <看更多>