คำพูดหนึ่งที่ผมมักได้ยินกันมากที่สุดสำหรับคนทำออนไลน์ ก็คือ "ค่า Ads โฆษณาแพงขึ้น"
.
ซึ่งเอาจริงๆ ต้องเรียกว่าคำ “บ่น” น่าจะถูกกว่า เพราะเป็นคำที่คนส่วนใหญ่พูดไปแล้วก็ไม่ได้คิดจะลงไปดูรายละเอียดจริงๆ ว่ามันใช่อย่างนั้นจริงๆ หรือเปล่า อาจจะเป็นเพราะพูดไปแล้วรู้สึกสบายใจเพราะการโทษคนอื่นมันง่ายกว่าการหันมาปรับปรุงตัวเอง
.
แต่ถ้าเราลองมาดูข้อเท็จจริง ผมคิดว่าทุกวันนี้ค่า Ads โฆษณาไม่ได้แพง แต่แค่คนส่วนใหญ่ทำคอนเทนต์ให้ “แพง” ไม่ได้ต่างหาก
.
การยิง Ads แค่ช่วยให้คนเห็น ไม่ได้ทำให้คนซื้อ นี่คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด ว่าสูตรสำเร็จของการขายออนไลน์ คือ การยิง Ads เก่งๆ แม่นๆ
.
แต่ความจริงแล้วการยิง Ads ก็เหมือนการที่เราจ้างคนแจกใบปลิว ไปแจกลูกค้า ยิ่งยิง Ads มากเท่าไหร่ก็เหมือนกับการจ้างหลายคนมากขึ้นเท่านั้น
.
แต่คำถาม คือ การมีคนแจกเยอะ ช่วยเพิ่มยอดขายจริงๆ หรอ ?
.
คำตอบ คือ “ไม่”
.
เพราะตัวตัดสินว่าลูกค้าจะซื้อของๆ คุณหรือไม่ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “คนแจกใบปลิว” แต่ขึ้นอยู่กับตัวใบปลิว ซึ่งก็คือ “คอนเทนต์” ต่างหาก
.
ถ้าคอนเทนต์ คุณดึงดูดมากพอลูกค้าก็จะตามมาที่หน้าร้านเพื่อซื้อของๆ คุณจากข้อมูลบนใบปลิวนั้น หรือ ไม่ก็เอาไปส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูอีก เปรียบเสมือนการ “แชร์”
.
แต่ถ้าคอนเทนต์ที่คุณทำออกมามันไม่สามารถทำให้ลูกค้าอยากซื้อได้ ต่อให้มีคนแจกใบปลิวมากเท่าไหร่ หรือแจกสักกี่ใบ ลูกค้าก็เอาไปทิ้งถังขยะ ซึ่งเปรียบเหมือนการ “เลื่อนผ่าน” อยู่ดี
.
ฉะนั้น สิ่งที่เราต้องกลับมาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกคือ การทำ “คอนเทนต์” เมื่อทำคอนเทนต์ได้อย่างทรงพลังแล้ว การยิง Ads หรือ การจ้างคนแจกใบปลิวถึงจะใช้ได้ผล
.
คำถาม คือ แล้วต้องทำคอนเทนต์แบบไหนล่ะ ถึงจะเรียกว่า “ทรงพลัง”
.
โดยส่วนตัวผมมีเทคนิคการทำคอนเทนต์ให้ทรงพลังที่เขียนเอาไว้ในหนังสือ งานประจำสอนทำธุรกิจ อยู่ 3 แบบ นั่นก็คือ
.
1.เรื่องเล่า
2.การเขียนบทความ
3.การเขียนขายแบบป้ายยา
.
โดยวันนี้ผมจะหยิบยกหนึ่งในเทคนิคที่ผมใช้อยู่มาแบ่งปันให้ทุกคนนำไปปรับใช้กันครับ ซึ่งเทคนิคนั้น ก็คือ การทำคอนเทนต์แบบ “เรื่องเล่า”
.
งานวิจัยจำนวนมากพบว่าสมองของมนุษย์ชอบเรื่องเล่า และยังพบด้วยว่าสิ่งที่มนุษย์จดจำได้ดีที่สุดก็คือเรื่องเล่า ซึ่งตามประวัติศาสตร์แล้ว การเล่าเรื่องเป็นการสื่อสารรูปแบบแรกที่เกิดขึ้นบนโลก และเป็นรูปแบบการสื่อสารแรกที่เรารู้จักตั้งแต่เกิดอีกด้วย เพราะตั้งแต่เกิดมา พ่อแม่ก็เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัว ศาสนา และความเป็นไปของโลกนี้ให้ฟัง จะว่าไปคนเราเรียนรู้และจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ก่อนที่เราจะอ่านหนังสือออกเสียอีก
.
หลายครั้งเวลาเราได้รับข้อมูลอะไรมา ไม่ว่าจะเป็นจากการฟังหรือการอ่าน จะสังเกตได้ว่าถ้าเป็นเรื่องเล่าเราจะสามารถจดจำมันได้ภายในครั้งเดียวและสามารถนำไปเล่าต่อได้เลย ต่างจากการฟังหรืออ่านข้อมูลทั่วไปโดยที่ไม่มีเรื่องเล่าประกอบ เราจะจำไม่ค่อยได้ นั่นจึงทำให้ทุกครั้งที่ผมเขียนอะไรที่เป็นเรื่องเล่า จะได้รับความสนใจและการแชร์มากเป็นพิเศษ
.
เพราะในสมองของคนเรามีเซลล์ที่เรียกว่าเซลล์ประสาทกระจกเงา ซึ่งทำให้มนุษย์สามารถสัมผัส รู้สึก เข้าใจความตั้งใจ การกระทำ และอารมณ์ของผู้อื่นได้ นั่นจึงทำให้เรื่องเล่าเป็นสิ่งที่สามารถเชื่อมต่อกับความรู้สึกของคนเราได้ง่ายที่สุด
.
แต่การจะเล่าเรื่องที่ดี ไม่ใช่การเล่าไปเรื่อยๆ ว่าวันนี้ฉันตื่นนอน ขับรถไปทำงาน ทานข้าวเที่ยง แล้วกลับบ้าน ซึ่งมันไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนอ่านได้
.
เรื่องเล่าที่ดีก็เหมือนการดูหนังเรื่องหนึ่ง คือ ต้องมี จุดเริ่มต้น อุปสรรค ดิ้นรน และทางออก
.
- จุดเริ่มต้น คือ การเปิดเรื่อง เป็นส่วนที่คุณต้องให้ข้อมูลที่จำเป็นกับผู้อ่าน เพื่อให้เรื่องสมเหตุสมผล โดยข้อมูลจะมีอยู่หลักๆ 3 อย่าง คือ สร้างบริบท วางฉาก แนะนำตัวละคร ซึ่งสิ่งสำคัญของส่วนนี้คือ อย่ายาวจนเกินไป ควรปูเรื่องให้สั้นและตรงประเด็น
.
- อุปสรรค คือ จุดที่ตัวละครเริ่มเจอเหตุการณ์บางอย่างที่เป็นอุปสรรค เรื่องเล่าที่ดีจำเป็นต้องมีอุปสรรคหรือสิ่งไม่ดีเกิดขึ้น ไม่อย่างนั้นมันจะไม่สนุก โดยอุปสรรคนั้นมีอยู่หลักๆ 5 อย่าง คือ คน ธรรมชาติ สังคม สิ่งแวดล้อม ตัวเอง
.
- ดิ้นรน คือ จุดที่สำคัญที่สุดของเรื่องเล่า เพราะมันสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้อ่านและสามารถดึงความสนใจได้มากที่สุด โดยจุดนี้ให้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ตัวละครต้องต่อสู้กับอุปสรรคนั้นๆ ถ้าคิดไม่ออกให้ลองนึกภาพหนังเรื่องไททานิก ฉากที่ผู้คนกำลังดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดจากเรือที่พุ่งชนภูเขาน้ำแข็ง จะเห็นว่าฉากนี้เป็นฉากที่คนดูจะสนใจ เกิดอารมณ์ร่วม และลุ้นมากที่สุดจนไม่อยากลุกไปไหนเลย
.
- ทางออก คือ จุดที่บ่งบอกว่าทางออก จุดคลี่คลายของการดิ้นรนต่อสู้กับอุปสรรคนั้นคืออะไร หรือที่เรียกง่ายๆ ว่า จุดไคลแม็กซ์ นั่นแหละ
.
เรื่องเล่าหนึ่งที่ผมได้อ่านแล้วจำได้แม่น คือ เรื่องของจอห์น ลาสซิเตอร์
.
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1978 มีชายชื่อจอห์น ลาสซิเตอร์ (John Lasseter) ซึ่งในขณะนั้นเขาเป็นเจ้าหน้าที่ประจำเครื่องเล่นจังเกิล ครูซ ในสวนสนุกดิสนีย์แลนด์ของบริษัทวอลต์ดิสนีย์ ลาสซิเตอร์มีความฝันอยากเป็นนักสร้างภาพเคลื่อนไหวมาตลอด ซึ่งไม่นานเขาก็ได้เลื่อนขั้นเข้ามาทำงานในสตูดิโอผลิตเเอนิเมชั่นของดิสนีย์ตามที่ตั้งใจไว้
.
ในตอนนั้นเเอนิเมชั่นทั้งหมดยังเป็นภาพ 2 มิติที่วาดขึ้นมาด้วยมือ เเต่ลาสซิเตอร์กลับคิดที่จะสร้างภาพยนตร์เเอนิเมชั่น 3 มิติที่สร้างด้วยคอมพิวเตอร์ทั้งหมดขึ้นมา ด้วยความที่สตูดิโอของดิสนีย์นั้นสร้างภาพยนตร์ 2 มิติมานานกว่า 50 ปีเเล้ว จึงไม่มีใครเชื่อคำเเนะนำของลาสซิเตอร์เลย
.
เเต่ลาสซิเตอร์ก็ยังยืนยันว่าเขาจะทำให้ได้ จนกระทั่งเขาถูกไล่ออกจากดิสนีย์ หลังจากที่ถูกไล่ออก เขาก็ไปทำงานต่อที่บริษัทลูคัสฟิล์ม ที่นี่เขามีโอกาสสร้างภาพยนตร์เเอนิเมชั่น 3 มิติที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมา เเต่ด้วยเงินทุนที่น้อยเกินไป เเอนิเมชั่นเรื่องนี้จึงมีระยะเวลาที่สั้นมากๆ
.
เเต่ก็เหมือนโชคชะตาจะเข้าข้างเขา เพราะตอนนั้น สตีฟ จ็อบส์เพิ่งจะถูกไล่ออกจากเเอปเปิ้ลพอดี เเละได้เข้ามาทำการขอซื้อกิจการของบริษัทลูคัสฟิล์มไปในราคา 10 ล้านดอลลาร์ เเละทันทีที่สตีฟ จ็อบส์เข้ามาบริหารงานที่นี่ ลาสซิเตอร์ก็ได้เปิดหนังสั้นที่เขาทำให้สตีฟ จ็อบส์ดู
.
ทันทีที่ดูจบ สตีฟ จ็อบส์ถามลาสซิเตอร์ว่า “ต้องใช้ทรัพยากรอะไรอีกบ้าง บริษัทถึงจะประสบความสำเร็จด้านเเอนิเมชั่นได้”
.
ลาสซิเตอร์ตอบว่า เขาต้องการเงินทุน 5 เเสนดอลลาร์ เพื่อที่จะสร้างภาพยนตร์ที่ยาวกว่านี้
.
สตีฟ จ็อบส์เซ็นเช็คส่วนตัวเเล้วยื่นให้เขาทันที โดยมีข้อเเม้ว่าลาสซิเตอร์ต้องทำให้มันยิ่งใหญ่สุดๆ ไปเลย
.
เเละในที่สุดลาสซิเตอร์ก็สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาจริงๆ เเถมยังสามารถคว้ารางวัลออสการ์มาครองได้สำเร็จอีกด้วย ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนั้นก็คือ Toy Story ภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติเรื่องเเรกของโลกนั่นเอง เเละภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นต้นกำเนิดของบริษัทใหม่ของสตีฟ จ็อบส์ ที่ชื่อว่าพิกซาร์
.
หลังจากนั้นเป็นต้นมา พิกซาร์ก็สร้างภาพยนตร์เเอนิเมชั่น 3 มิติที่ประสบความสำเร็จอีกมากมายหลายเรื่อง ทั้ง Toy story, A Bug’s Life, The Incredibles, Wall-E และ Up จนมาถึง Toy Story 3 ที่สามารถสร้างรายได้มากถึงพันล้านดอลลาร์ได้เป็นเรื่องเเรก
.
เเละจอห์น ลาสซิเตอร์ก็เป็นนักสร้างภาพยนตร์เเอนิเมชั่นคนเเรกที่ได้รับรางวัลเดวิด โอ. เซลซ์นิก ที่เเม้เเต่วอลต์ ดิสนีย์ก็ยังไม่เคยได้รับรางวัลนี้เลยด้วยซ้ำ
.
ตลอดระยะเวลา 20 ปี พิกซาร์ประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับดิสนีย์ที่สถานการณ์กลับย่ำเเย่ลงทุกวัน เพราะเเอนิเมชั่นเเบบดั้งเดิมของพวกเขาถูกพิกซาร์โค่นลงจนไม่เหลือชิ้นดี
.
จนสุดท้าย ในปี 2006 ดิสนีย์ก็ต้องหอบเงินเข้ามาขอซื้อบริษัทพิกซาร์จากสตีฟ จ็อบส์ ด้วยมูลค่า 7,700 ล้านดอลลาร์ เท่ากับว่าสตีฟ จ็อบส์สามารถทำกำไรได้ถึง 3,700 ล้านดอลลาร์ (ตามสัดส่วนการถือหุ้น) จากเงินที่ลงทุนไปตอนเเรกเเค่ 10 ล้านดอลลาร์เท่านั้น
.
เเต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในเงื่อนไขของสัญญาการซื้อขายบริษัทครั้งนี้ ระบุเอาไว้อย่างชัดเจนว่า “ทางดิสนีย์ต้องให้ จอห์น ลาสซิเตอร์ที่พวกเขาเคยไล่ออกตอนยังเป็นเด็กใหม่ ดูเเลฝ่ายเเอนิเมชั่นของดิสนีย์ทั้งหมด” เเล้วลาสซิเตอร์ก็กลายเป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ของดิสนีย์เเละพิกซาร์ในที่สุด
.
จากเรื่องเล่าของจอห์น ลาสซิเตอร์ จะเห็นว่ามีองค์ประกอบครบทุกอย่าง
.
ทั้ง “จุดเริ่มต้น” ที่จอห์น ลาสซิเตอร์มีความฝันอยากเป็นนักสร้างภาพเคลื่อนไหว
.
แต่ต้องพบเจอกับ “อุปสรรค” ที่ไม่มีใครเชื่อคำเเนะนำของลาสซิเตอร์ จนกระทั่งเขาถูกไล่ออกจากดิสนีย์
.
เขาต้อง “ดิ้นรน” โดยการไปทำงานต่อที่บริษัท ลูคัสฟิล์ม เพื่อหาโอกาสสร้างภาพยนตร์เเอนิเมชั่น 3 มิติอีกครั้ง แต่ด้วยเงินทุนที่น้อยเกินไป เเอนิเมชั่นเรื่องนี้จึงมีระยะเวลาที่สั้นมากๆ
.
และสุดท้ายเรื่องนี้ก็นำไปสู่ “ทางออก” จากการที่สตีฟ จ็อบส์ได้เข้ามาบริหารงานและให้โอกาสลาสซิเตอร์จนสามารถสร้าง Toy Story ภาพยนตร์แอนิเมชั่น 3 มิติ เรื่องเเรกของโลกได้สำเร็จ และลาสซิเตอร์ก็ได้กลับมาดูเเลฝ่ายเเอนิเมชั่นของดิสนีย์ทั้งหมด
.
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณอยากจะเล่าเรื่องให้ทรงพลัง อย่าเล่าไปเรื่อยๆ เพราะมันจะวนไปวนมาและหาจุดจบไม่ได้ แต่ให้วางโครงเรื่องตามองค์ประกอบนี้ให้ครบ เพราะมันจะทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ร่วมมากที่สุด โดยเทคนิคนี้สามารถนำไปใช้กับการพูดก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นว่าต้องใช้กับการเขียนอย่างเดียว
.
หากใครอยากได้เทคนิคการทำคอนเทนต์ในรูปแบบ “การเขียนบทความ” และ “การเขียนขายแบบป้ายยา”เพิ่มก็สามารถไปอ่านต่อได้จาก หนังสือ งานประจำสอนทำธุรกิจ ได้เลยนะครับ
.
ราคา 305 บาท รวมส่ง
.
วิธีการสั่ง
.
1.กดลิงก์ https://m.me/432860907260347?ref=sale_7GBExd45
.
2.กด “สั่งซื้อ”
.
3.เลือก “จำนวน” และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”
.
จากนั้น ชำระเงิน ตามเลขบัญชีที่ให้ไว้ใน Inbox
Search
อยู่ แบบ ธรรมชาติ 在 By มาดามบ้านนา | Facebook 的推薦與評價
... อยู่แบบ บ้านๆกินของ ธรรมชาติ บ้านเรา. Vin Vilakon and 129 others. 1.5K Views · 130 · 36 · 9. More from มาดามบ้านนา. 02:00 ... ... <看更多>