กรณีศึกษา Grand Seiko นาฬิกาหรู แห่งดินแดนอาทิตย์อุทัย
Grand Seiko x ลงทุนแมน
หากพูดถึงนาฬิกาแบรนด์หรู
นอกจากแบรนด์สวิสแล้ว ก็คงต้องพูดถึง “แบรนด์ญี่ปุ่น”
ความเจริญก้าวหน้าของญี่ปุ่นในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
ได้ก่อให้เกิดการพัฒนาของสินค้าในแทบทุกวงการ
รวมไปถึง แบรนด์นาฬิกา
และหากพูดถึงนาฬิกาแบรนด์หรู ที่มีต้นกำเนิดในดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้
“Grand Seiko” ก็จะเป็นหนึ่งแบรนด์ ที่มีคนพูดถึงกัน
เรื่องราวของนาฬิกาแบรนด์นี้ เป็นอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ย้อนกลับไปในปี 1881 หรือเมื่อ 140 ปีที่แล้ว..
คุณคินทาโร่ ฮัตโตริ นักธุรกิจหนุ่มชาวญี่ปุ่น ในวัย 22 ปี
ได้เปิดร้านขายและซ่อมนาฬิกาพก กับนาฬิกาแขวน ณ ใจกลางกรุงโตเกียว
ในช่วงแรก นาฬิกาที่ขายภายในร้านของคุณฮัตโตริ
เป็นนาฬิกาที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ และเป็นของหายากที่หาซื้อที่อื่นไม่ได้ในญี่ปุ่น
ทำให้ร้านของคุณฮัตโตริ เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในกลุ่มคนญี่ปุ่นที่ชื่นชอบนาฬิกาหายาก
หลังจากให้บริการดูแลนาฬิกา และขายนาฬิกามานานกว่า 10 ปี
ในปี 1892 คุณฮัตโตริก็ตัดสินใจผลิตนาฬิกาขึ้นมาเอง
โดยตั้งชื่อโรงงานของตนเองในตอนแรกว่า “Seikosha” ที่มีความหมายว่า “บ้านแห่งความเที่ยงตรง” ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นชื่อ “Seiko” เพื่อให้เป็นที่จดจำได้ง่ายขึ้นในภายหลัง
คุณฮัตโตริเริ่มจากการผลิตนาฬิกาแขวนผนัง นาฬิกาพก มาจนถึงนาฬิกาข้อมือ
ด้วยความเที่ยงตรงของเวลาที่ทำได้ดีไม่แพ้มาตรฐานของนาฬิกาแบรนด์อื่นใด
บวกกับความประณีตในทุกขั้นตอนการผลิต
ทำให้ชื่อเสียงของ Seiko เป็นที่ยอมรับไปทั่วทั้งญี่ปุ่นและต่างประเทศอย่างรวดเร็ว
ต่อมาคุณฮัตโตริต้องการให้มีรุ่นของนาฬิกาที่เน้นความเรียบหรูสไตล์ญี่ปุ่น
เพื่อวางตำแหน่งให้เป็น นาฬิการะดับ Hi-end ของ Seiko
“Grand Seiko” จึงได้ถือกำเนิดขึ้น
พร้อมเผยโฉมนาฬิกาเรือนแรก ในปี 1960
ดีไซน์ของนาฬิกา Grand Seiko ในยุคแรกเริ่ม
ตัวเรือนนาฬิกา มีภาพลักษณ์ดูเรียบง่าย หรูหรา แต่แฝงไปด้วยรายละเอียดในทุกชิ้นส่วน
เช่น Markers และตัวเข็มบอกเวลา ที่มีการขัดแต่ง โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า “Diamond cut” ที่ช่วยเพิ่มความเรียบหรูและมองเห็นง่าย มาพร้อมกับกลไกภายในเรือนนาฬิกาที่ให้ความแม่นยำในระดับที่ไม่เป็นรองใคร
แล้ว Grand Seiko ก็ยิ่งเป็นที่สนใจมากขึ้นจากคนทั่วโลก หลังการเกิดขึ้นของนิยามในการออกแบบตัวเรือนนาฬิกาใหม่ ที่มีรหัสว่า “44GS” ในปี 1967 และตัวเรือนแบบนี้ยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ใช้นาฬิกาจากทั่วโลก ในฐานะ Signature ของ Grand Seiko
ในปี 1977 ทีมวิศวกรของ Seiko ก็ได้ปฏิวัติวงการนาฬิกาอีกครั้ง
ด้วยแนวคิดนาฬิกาที่ผนวกจุดเด่นของความเที่ยงตรงของกลไก Quartz หรือกลไกอิเล็กทรอนิกส์ เข้ากับความคลาสสิกของการใช้พลังงานจากลานของกลไกจักรกลแบบดั้งเดิม
โดยสุดยอดกลไกที่ว่านั้น มีชื่อว่า “Spring Drive”
จุดเด่นของกลไก Spring Drive คือ เข็มวินาทีที่เดินเรียบเนียน แบบ Sweeping Hand
หรือที่คนไทยเรียกว่า “เข็มสะกดวิญญาณ”
ซึ่งการเดินของเข็มจะมีเอกลักษณ์ที่เดินเหมือนการกวาดไปบนหน้าปัด ไร้การกระตุก
อีกทั้งเรือนนาฬิกา ยังมีพลังงานสำรองที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 50 ชั่วโมง เป็น 72 ชั่วโมง ทั้งยังมีความเที่ยงตรงสูงโดยคลาดเคลื่อนไม่เกิน 1 วินาทีต่อวัน
Spring Drive จึงกลายมาเป็น สุดยอดกลไกของนาฬิกา
โดยถูกนำมาใช้ใน Grand Seiko เป็นครั้งแรกในปี 2004 กับนาฬิการุ่น SBGA001 ที่ได้สร้างความสำเร็จ และสร้างชื่อเสียงให้กับ Grand Seiko เรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน Grand Seiko เป็นนาฬิกาแบรนด์หรูสัญชาติญี่ปุ่น ที่ได้รับการยอมรับในเรื่องความงดงามของตัวเรือน และความแม่นยำในการบอกเวลาในระดับสากล
ทั้งยังมีทีมวิศวกรที่มีความชำนาญด้านกลไกนาฬิกาคอยพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับ Grand Seiko อยู่ตลอดเวลา
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือ
ข้อมูลจากรายงานผลประกอบการของ Seiko Holdings Corporation ในปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า
ยอดขายของ Grand Seiko ยังสามารถเติบโตได้ในช่วงเดือนเมษายน-กันยายน ปี 2020 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด 19 ระบาดหนักทั่วโลก
ซึ่งการเติบโตนี้สวนทางกับรายได้ของบริษัทในส่วนของนาฬิกา (Watches Business)
ที่หดตัวลง 38.8% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
ที่เป็นแบบนี้ ทางบริษัทได้ให้เหตุผลว่า
กำลังซื้อที่สำคัญส่วนหนึ่งมาจากคนจีน ที่เมื่อไม่สามารถไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้ ก็เอาเงินมาซื้อสินค้าแบรนด์หรูเพิ่มขึ้น
ซึ่ง Grand Seiko ก็ถือเป็นหนึ่งแบรนด์หรูที่ได้รับอานิสงส์จากการใช้จ่ายส่วนนั้น เนื่องจากมี Boutique อยู่ในประเทศจีน ทั้งที่ปักกิ่ง กวางโจว และเซี่ยงไฮ้
นอกจากนั้นยังมียอดขายที่เติบโตได้อย่างโดดเด่น
จากงาน Watch Fair ที่จัดขึ้นในหลายประเทศ
อย่างในประเทศไทย ก็มีงาน Watch Fair ใหญ่ ๆ 2 งานในปีที่ผ่านมา
คือ Watch Expo ที่สยามพารากอน และ Central International Watch Fair
ซึ่งนาฬิกาของ Grand Seiko ก็ได้รับความสนใจ และสามารถสร้างยอดขายเป็นอันดับ 1 ของทั้งสองงานเลยทีเดียว
ทั้งหมดนี้ ก็คือเรื่องราวของ Grand Seiko
แบรนด์นาฬิกา ที่สะท้อนความหรูหราสไตล์ญี่ปุ่น
นาฬิกาที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ ทั้งความประณีตของตัวเรือน กลไกที่ให้ความเที่ยงตรงระดับสูงสุด
และชื่อเสียงที่สั่งสมผ่านประวัติศาสตร์อันยาวนานของแบรนด์
ทำให้นาฬิกาหรูแห่งดินแดนอาทิตย์อุทัยแบรนด์นี้
เปรียบเสมือนสิ่งล้ำค่า ที่หลายคนปรารถนา จะได้มาครอบครอง..
References
-https://www.seikowatches.com/th-th/special/heritage/
-https://www.grand-seiko.com/global-en/about/history
-SEIKO HOLDINGS CORPORATION Consolidated Financial Statements: 2Q FY2020
同時也有9部Youtube影片,追蹤數超過23萬的網紅OverclockZoneTV,也在其Youtube影片中提到,Dell XPS คือ Notebook ระดับเรือธง ของ Dell เรียกได้ว่า อะไรที่ดีที่สุด มักจะอยู่ในรุ่นนี้แหละ .. วันนี้เราหยิบรุ่นใหม่ XPS15 ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆร้อนๆ...
หรูหรา คือ 在 Close To Heaven Blog Facebook 的最佳貼文
ไปดูกันว่า Kaiseki ราคา 8,000 B++ มีอะไรให้กินบ้าง
https://www.closetoheavens.com/restuarant-review/japanese-food/yuna-kaiseki-banyan-tree-bangkok/
---------------------------
ได้ยินคำว่า Omakase กันบ่อยแล้ว วันนี้มารู้จัก Kaiseki กันบ้างดีกว่า
Kaiseki (ไคเซกิ) การเสิร์ฟอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม หรูหรา ระดับ top
เน้นใช้วัตถุดิบตามฤดูกาลเพื่อให้ได้รสชาติที่ดีที่สุด ณ ขณะนั้น
อย่างที่ร้าน Yuna Kaiseki นำเข้าวัตถุดิบจากเมือง Tottori บ้านเกิดของ โคนัน
ไม่ว่าจะเป็นเนื้อวากิว A4 และ ปู Matsuba รวมถึงมี อาหารหากินยาก อย่าง
Karasumi ไข่ปลากระบอกเผา เมนูที่บุ๊งชอบที่สุดในมื้อนี้ หอม อร่อยมากกก อยากกินอีก
---------------------------
Yuna Kaiseki เสิร์ฟ ไคเซกิ เป็นคอร์ส โดยเราจะไม่รู้ว่าเชฟจะจัดอะไรมาให้เรากินบ้าง
วันที่บุ๊งไป เมนูอาหารก็อาจจะไม่เหมือนกับวันที่คนอื่น ๆ ไป
แต่ที่แน่ ๆ ทุกเมนูมีความ premium เชฟใช้คำว่า hi-class เลยแหละ
Kaiseki ที่นี่มีหลายราคา ได้แก่
• Lunch มื้อเที่ยง @ 2,500 B++
• Dinner มื้อเย็น มี 3 ราคา คือ 4,000 B++, 6,000 B++, และ 8,000 B++
• Seko Kaiseki’s Secret 2,999 B++ (Lunch or Dinner) มีทั้งมื้อเที่ยงและเย็น
---------------------------
นอกจากอาหารจะดีงามขั้นสุดแล้ว ยังได้นั่งดูวิวจากชั้น 53
ของ Banyan Tree Bangkok ด้วย
ร้านเพิ่งเปิดใหม่ล่าสุด มีที่นั่งหน้าเคานเตอร์แค่ 8 ที่
แนะนำว่า ควรต้องจองก่อน นะคะ
---------------------------
Yuna Kaiseki
Banyan Tree Bangkok
Tel. +66 64 135 7051
Opening hours: Tue – Sun
Lunch 12:00 -13:30 hrs
Dinner 17:30-19:00 hrs
20:30-22:00 hrs
https://www.facebook.com/yunakaiseki/
Map: https://goo.gl/maps/8MyHrh4d6w7FWsmV9
---------------------------
#CloseToHeavenBlog
#YunaKaisekiBangkok
หรูหรา คือ 在 อายุน้อยร้อยล้าน Facebook 的精選貼文
4 รถหรูยอดนิยมสำหรับเป็นรถประจำตำแหน่ง ที่ผู้บริหารและท่านประธานบริษัทต้องมี!
.
เพราะการเป็นผู้บริหาร และประธานบริษัท นอกจากความเก่ง ฉลาด เป็นผู้นำ เรื่องของบุคลิกภาพและภาพลักษณ์ภายนอกก็สำคัญต่อความน่าเชื่อถือเมื่อต้องออกไปคุยธุรกิจกับลูกค้าหรือนักลงทุน! ซึ่งรถที่ใช้หรือที่เรียกว่า “รถประจำตำแหน่ง” ก็มีผลต่อภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือของตำแหน่งผู้บริหารด้วย
.
ทำให้ไม่ว่าจะเป็น ผู้บริหาร ประธาน หรือนักธุรกิจระดับสูง มักนิยมเลือกใช้รถที่มีความหรูหรา ทันสมัย อย่าง รถอเนกประสงค์ MPV (Multi Purpose Vehicle) ที่สามารถรองรับคนได้หลายที่นั่ง มีความเอนกประสงค์ สะดวกสบาย วันนี้เราจึงนำรถหรูยอดนิยมที่ผู้บริหารส่วนใหญ่ใช้กันจาก 4 ค่ายที่ตอบโจทย์การใช้งาน รวมถึงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ให้กับผู้บริหารได้เป็นอย่างดีมาให้ได้ชมกัน!
.
1.Toyota Alphard และ Toyota Vellfire
สำหรับ Toyota Alphard และ Toyota Vellfire มีด้วยกัน 3 รุ่น 3 ราคา ดังนี้
- Toyota Vellfire 2.5 ราคาเริ่มต้น 3,838,000 บาท
- Toyota Alphard 2.5 Hybrid ราคาเริ่มต้น 3,968,000 บาท
- Toyota Alphard 3.5 VIP ราคาเริ่มต้น 5,458,000 บาท
ทั้ง 3 รุ่นของ Toyota เป็นรุ่นที่ผู้บริหารนิยมใช้มากที่สุดในตลาดรถ MPV ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์การใช้งานอเนกประสงค์ ดีไซน์หรูหรา ทันสมัย ขนาด 7 ที่นั่ง ภายในกว้างขวาง มาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็น เบาะนั่งแยก VIP ของผู้ขับขี่ ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะนั่งผู้โดยสาร ปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง บริเวณด้านหน้ามีจอระบบสัมผัสเพื่อความบันเทิง ขนาด 10.5 นิ้ว และห้องโดยสารด้านหลังเป็นจอขนาด 13.3 นิ้ว พร้อมลำโพง 17 จุด จาก JBL ทั้งคัน
.
2.Hyundai Grand Starex
- Hyundai Grand Starex Premium A/T ราคาเริ่มต้น 2,349,000 บาท
- Hyundai Grand Starex VIP A/T ราคาเริ่มต้น 2,399,000 บาท
เป็นรถอเนกประสงค์สัญชาติเกาหลี ขนาด 7 ที่นั่ง ชุดแต่งดีไซน์ใหม่ หรูหรา ตกแต่งโครเมียมรอบคัน เบาะนั่งปรับเอนพนักพิง ที่รองขาด้วยระบบไฟฟ้า บริเวณคอนโซลหน้ามีเครื่องเสียง DVD หน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว จอภาพ LCD ติดเพดาน พับไฟฟ้าแบบ Full HD 13.3 นิ้ว (เฉพาะรุ่นพรีเมียม) พร้อมระบบป้องกันล้อล็อก ระบบควบคุมเสถียรภาพช่วยในการควบคุมทิศทางเมื่อต้องเบรกกะทันหัน มีถุงลมนิรภัยทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ปกป้องทั้งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้าจากการชนแบบ Frontal และ Side Impact
.
3. Volkswagen Caravelle
- Volkswagen Caravelle T69 ราคา 3,969,000 บาท
- Volkswagen Caravelle T69 SE ราคา 4,069,000 บาท
รถตู้พรีเมียมอีกหนึ่งรุ่นที่ไม่พูดถึงไม่ได้ หรูหรา ทันสมัย ขนาด 6 ที่นั่ง เป็นเบาะนั่งแยกแบบ VIP มีกระจกกั้นห้องโดยสารควบคุมด้วยระบบไฟฟ้า ภายในตัวรถตกแต่งด้วยลายไม้ที่มีให้เลือกหลายลาย บันไดข้างไฟฟ้าทั้งซ้ายและขวา ตกแต่งด้วยโครเมียมรอบคัน ไฟหน้า Projector Lens แบบ LED ประตูสไลด์ด้วยระบบไฟฟ้าซ้าย-ขวา พร้อมกับ Safty sensor ตรวจจับสิ่งกีดขวางเพื่อความปลอดภัย ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีขณะออกตัว ระบบเบรก ABS/EBD/BA ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง และระบบแจ้งเตือนเมื่อเกิดอาการเหนื่อยล้าขณะขับขี่
.
4. Lexus LM
- Lexus LM300h Executive แบบ 7 ที่นั่ง ราคา 5,500,000 บาท
- Lexus LM300h Executive แบบ 4 ที่นั่ง ราคา 6,500,000 บาท
สำหรับคนที่มีงบ 5 ล้านบาทขึ้นไป รถอเนกประสงค์รุ่นนี้ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี ด้วยภาพลักษณ์ที่หรูหรา เข้ากับภาพลักษณ์ของผู้บริหารเป็นอย่างมาก ได้รับการพัฒนาภายใต้แนวคิด 3 องค์ประกอบ คือ การออกแบบด้านนวัตกรรมล้ำสมัย, ความประณีตของชิ้นงาน และวัฒนธรรมการต้อนรับและดูแลเอาใจใส่แบบ Omotenashi ของญี่ปุ่น มีให้เลือก 2 ขนาด คือ 7 ที่นั่ง และ 4 ที่นั่ง โดดเด่นด้วยกระจังหน้าแบบ Spindle Grille ไฟท้ายลากยาวตลอดความกว้างของรถ
มาพร้อมกับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายอย่างครบครันทั่วทั้งคัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบเบาะคู่ปรับหน้าไฟฟ้า 8 ทิศทาง เบาะคู่หลังปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง เครื่องเสียง หน้าจอ 26 นิ้ว และระบบความปลอดภัย เช่น ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบป้องกันก่อนการชน ช่วยเบรกอัตโนมัติ และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
.
สำหรับผู้บริหาร หรือว่าที่ผู้บริหารคนไหน ที่กำลังสนใจอยากได้รถ MPV ไปเป็นรถประจำตำแหน่งเสริมลุค และภาพลักษณ์ให้ดียิ่งขึ้น ทั้ง 4 รุ่นก็เป็นตัวเลือกที่ดีทั้งหมด อยู่ที่ว่าถูกใจแบบไหน และตั้งงบไว้เท่าไหร่ แม้ราคาอาจจะสูง แต่รับรองได้เลยว่าดีไซน์ คุณสมบัติ สเปค ล้วนแล้วแต่คุ้มค่าสมตำแหน่งผู้บริหารและประธานบริษัทแน่นอน ยืนยันได้จากเหล่าคนดังที่ใช้รถประเภทนี้เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา, อั้ม พัชราภา และพี่ก้อง อายุน้อยร้อยล้าน
.
ที่มา : https://bit.ly/2Jm9gPB
https://www.toyota.co.th/model/alphard/specification
https://thaiyarnyon.com/index.php/models/t69
https://www.hyundai.co.th/grandstarex/th/convenience.html
https://www.lexus.co.th/th/model-brochures.html?model=lm-300h
#อายุน้อยร้อยล้านNEWS
#อายุน้อยร้อยล้าน #ryounoi100lan
#MPV #รถอเนกประสงค์ #รถหรูผู้บริหาร
#ผู้บริหาร #Toyota #Hyundai #Volkswagen #Lexus
หรูหรา คือ 在 OverclockZoneTV Youtube 的最佳貼文
Dell XPS คือ Notebook ระดับเรือธง ของ Dell เรียกได้ว่า อะไรที่ดีที่สุด มักจะอยู่ในรุ่นนี้แหละ .. วันนี้เราหยิบรุ่นใหม่ XPS15 ที่เพิ่งเปิดตัวไปสดๆร้อนๆมาให้ดูกัน ถ้าอยากรู้ว่านิยามของโน๊ตบุ๊คระดับ Hi-End จริงเป็นยังไง รีวิวนี้ มีคำตอบ
ราคา 79,900 บาท
#Dell #DellXPS15
หรูหรา คือ 在 CarDebuts Youtube 的最佳貼文
เปิดตัว ราคา พร้อมการ รีวิวเจาะลึก The new MG ZS 2020 Thailand ( เอ็มขี แซตเอส ) รุ่นไมเนอร์เชนจ์ ปรับโแมใหม่ล่าสุด
“NEW MG ZS” อีกขั้นของยนตกรรม SUV ที่มาพร้อมนิยาม “SMART UP สมาร์ทเอสยูวี ที่เหมาะกับชีวิตสมาร์ทของทุกคน” ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด BRIT DYNAMIC ให้ความสปอร์ต หรูหรา ตามแบบฉบับยนตรกรรมอังกฤษที่ได้รับการอัพเกรดขึ้นอีกขั้นทั้งในด้านสมรรถนะ (PERFORMANCE) การควบคุม (HANDLING) การออกแบบ (DESIGN) ความสะดวกสบาย (COMFORT) และความปลอดภัย (SAFETY) ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สมาร์ทของทุกคนได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
NEW MG ZS โดดเด่นด้วยสไตล์ความเป็นสปอร์ตและรูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวมากยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าดีไซน์ใหม่ และการออกแบบเส้นสายด้านข้างแบบ British Shoulder Line ด้วยความโค้งมนที่เป็นเอกลักษณ์ของเอ็มจี เพิ่มความสมาร์ทด้วยไฟหน้าแบบ LED Projector ที่ควบคุมการเปิด-ปิดอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน (DAYTIME RUNNING LIGHT) และไฟท้ายแบบ LED พร้อมเสริมความดุดันด้วยล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่ขนาด 17 นิ้ว
NEW MG ZS ได้รับการออกแบบภายในอย่างพิถีพิถันด้วยห้องโดยสารแบบสปอร์ตสีทูโทน และการใช้วัสดุ SOFT TOUCH ในการตกแต่ง โดดเด่นขึ้นอีกขั้นด้วยพวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นและหน้าจอแสดงผลอัจฉริยะขนาด 7 นิ้วดีไซน์ใหม่ (Digital Multi-Function Display) และหน้าจอ touch screen ขนาดใหญ่ 10 นิ้ว ซึ่งรองรับทั้งระบบปฏิบัติการ Apple CarPlay และระบบเชื่อมต่อมัลติมีเดียกับสมาร์ทโฟนระบบ Android พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB สำหรับผู้โดยสารด้านหลัง ระบบปรับอากาศแบบดิจิตอลที่มีระบบกรองอากาศเพื่อกรองฝุ่นขนาดเล็ก PM 2.5 อีกทั้งยังเพิ่มความสะดวกสบายด้วยเบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้าได้ 6 ทิศทาง พร้อมที่พักแขนด้านหน้า รวมไปถึงระบบกุญแจรีโมทอัจฉริยะ (Smart Key) พร้อมสตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยปุ่ม Push Start และยังคงสุนทรียภาพในการขับขี่ด้วยหลังคาซันรูฟขนาดใหญ่แบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof)
NEW MG ZS ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว ให้กำลังสูงสุด 114 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 150 นิวตันเมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ผสานการทำงานกับระบบเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT ใหม่ 8 สปีด และสามารถปรับโหมดพวงมาลัยได้ถึง 3 โหมด คือ โหมด City สำหรับการขับขี่ในเมือง โหมด Standard สำหรับการขับขี่ทั่วไป และโหมด Sport สำหรับการขับขี่สไตล์สปอร์ตที่จะให้ความเร้าใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น NEW MG ZS มาพร้อมช่วงล่างตามแบบ EURO TUNING SUSPENSION ที่ให้การทรงตัวอย่างดีเยี่ยม ผสานกับระบบช่วงล่างหน้าแบบ MacPherson Strut พร้อมเหล็กกันโคลงและช่วงล่างหลังแบบ Torsion Beam ที่จะทำให้การควบคุมในการขับขี่มีความลงตัวมากขึ้น
NEW MG ZS ยังคงมาพร้อมระบบปฎิบัติการอัจฉริยะ i-SMART เอกสิทธิ์เฉพาะของเอ็มจี เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่สมาร์ทยิ่งขึ้น
• Smart Command ที่สามารถสั่งการระบบผ่านคำสั่งเสียงภาษาไทยหรือควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมยกระดับความสมาร์ทเพื่อความปลอดภัย ด้วยระบบ Emergency Call ซึ่งจะมีการโทรและส่งข้อความระบุพิกัดรถไปยังเบอร์โทรที่ได้มีการตั้งค่าไว้เมื่อถุงลมนิรภัยในรถทำงานทำให้การเข้าช่วยเหลือทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
• Smart Connect เชื่อมต่อโลกออนไลน์อย่างชาญฉลาดสามารถเลือกฟังเพลงได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และสตรีมมิ่ง ระบบค้นหาร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว พร้อมนำทางและรายงานการจราจรแบบ Real Time รวมทั้งการอ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆ ได้อย่างทันเหตุการณ์
• Smart Check ที่จะทำให้การตรวจสอบรถของคุณง่ายดายยิ่งขึ้น โดยสามารถ ตรวจสอบสถานะรถยนต์และเตือนเมื่อมีสถานะผิดปกติ สั่งการล็อคหรือปลดล็อคประตูรถ ค้นหารถด้วยระบบ Find My Car ช่วยค้นหาศูนย์บริการ รวมถึงการบันทึกการดูแลรักษารถตามระยะ ผ่าน MG Mobile Application
NEW MG ZS เป็นยนตรกรรมที่มาพร้อมกับระบบความปลอดภัยอย่างเต็มขั้น ใช้โครงสร้างตัวถังนิรภัย FSF (Full Space Frame) พร้อมระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป SYNCHRONIZED PROTECTION SYSTEM ที่จะทำงานผสานกันเพื่อประสิทธิภาพที่ดีที่สุด ประกอบด้วย
• ระบบป้องกันการไหลของรถ AVH (Auto Vehicle Hold)
• ระบบป้องกันล้อล็อก ABS (Anti-lock Brake System)
• ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake force Distribution)
• ระบบเสริมแรงเบรกด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA (Electronic Brake Assist)
• ระบบควบคุมการทรงตัว SCS (Stability Control System)
• ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC (Curve Brake Control)
• ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS (Traction Control System)
• ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS (Hill Start Assist System)
• ระบบควบคุมความเร็วรถขณะลงทางลาดชัน HDC (Hill Descent Control System)
• ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS (Tire Pressure Monitor System)
• ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS (Emergency Stop Signal)
• ระบบจำกัดความเร็ว ASL (Active Speed Limit)
นอกจากนี้ NEW MG ZS ยังมาพร้อมระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB (Electronic Parking Brake) และ ระบบป้องกันการไหลของรถโดยไม่ต้องเหยียบเบรกค้าง AVH (Auto Vehicle Hold) กล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา (Around View Monitor) พร้อมสัญญาณเตือนระยะถอยหลัง ไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์ (Follow Me Home Light) จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX ถุงลมนิรภัยด้านหน้าและด้านข้างรวม 6 จุด และระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
NEW MG ZS มี 3 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น C+ D+ และรุ่นสูงสุดคือ X+ พร้อมสีตัวถังทั้งหมด 4 สี คือ สีขาว Arctic White สีแดง Scarlet Red สีเงิน Silver Metallic และ สีดำ Black Knight โดยมีราคาจำหน่ายอย่างเป็นทางการ แบ่งตามรุ่นย่อย ดังนี้
NEW MG ZS 2020 รุ่น C+ ราคา 689,000 บาท
NEW MG ZS 2020 รุ่น D+ ราคา 739,000 บาท
NEW MG ZS 2020 รุ่น X+ ราคา 799,000 บาท
หรูหรา คือ 在 CarDebuts Youtube 的最佳貼文
เปิดตัว ราคา รีวิว เบื้องต้น All-New 2018-2019 Toyota Camry Thailand (โตโยต้า คัมรี่ / แคมรี่) โฉมใหม่ล่าสุด ของไทย มี 4 รุ่นย่อย 2.0G, 2.5G, 2.5HV, 2.5HV Premium (รุ่นไฮบริด)
โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย แถลงข่าวแนะนำรถยนต์ซีดานขนาดกลางสุดหรู รุ่นใหม่ล่าสุด "The All-New CAMRY…Soul Striking Luxury” ที่สมบูรณ์แบบด้วยภาพลักษณ์ดีไซน์สปอร์ต หรูหรา ผ่านการออกแบบอย่างพิถิพิถัน ภายในกว้างขวาง ใส่ใจในทุกรายละเอียดการตกแต่ง พร้อมด้วยสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยมเหนือใคร จากสถาปัตยกรรมยานยนต์ใหม่ TNGA ที่ช่วยผสานยนตรกรรมกับผู้ขับขี่ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน ครบครันด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบาย และระบบความปลอดภัยมาตรฐานระดับโลก ให้ความมั่นใจในทุกสถานการณ์การขับขี่
นอกจากนี้ บริษัทยังได้พัฒนาระบบขับเคลื่อนใหม่ คือ เครื่องยนต์ขนาด 2.5 ลิตร Dynamic Force และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด ที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ร่วมกับความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถังรถได้สูงสุด ส่งผลให้มีอัตราการเร่งแบบสปอร์ตและการขับขี่ที่เร้าใจ สำหรับรุ่นไฮบริด ที่มาพร้อมกับระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นที่ 4 ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในอัตราการเร่งที่ดีขึ้น และสามารถประหยัดน้ำมันได้มากขึ้น
ความสะดวกสบายของผู้โดยสาร ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหลัก ที่ Toyota มุ่งเน้นพัฒนาสำหรับคนไทยโดยเฉพาะ โดยเบาะนั่งด้านหลังที่สามารถปรับเอนได้ (Rear Reclining Seat) ให้ความรู้สึกผ่อนคลายตลอดการเดินทาง และ T-Connect Telematics ระบบที่เชื่อมต่อรถ และผู้ใช้รถให้เป็นหนึ่งเดียว ช่วยให้คุณอัพเดตสถานะรถได้ตลอดเวลา
ความปลอดภัยของผู้โดยสาร ถือเป็นสิ่งสำคัญลำดับแรกของโตโยต้า โดยคัมรี ได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยขั้นสูงสุดไว้มากมาย อาทิ ระบบความปลอดภัยก่อนการชน (PRE-COLLISION SYSTEM) ระบบควบคุม และปรับลดความเร็วอัตโนมัติ (DYNAMIC RADAR CRUISE CONTROL) ระบบเตือน เมื่อออกนอกเลน พร้อมพวงมาลัยหน่วงอัตโนมัติ (LANE DEPARTURE ALERT) มีการติดตั้งถุงลมนิรภัยรอบคัน 9 ใบ ซึ่งถือได้ว่า มากที่สุดในรถระดับเดียวกัน
นอกจากนี้ Toyota ยังมอบประสบการณ์การครอบครองที่เหนือระดับ ให้แก่ลูกค้าคัมรีทุกท่าน โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ผ่าน “Ultimate Ownership Package” ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่วันแรกของการครอบครอง ตลอดระยะเวลาการใช้งาน ได้แก่ การขยายรับประกันคุณภาพรถใหม่ จาก 3 ปี เป็น 5 ปี การรับประกันแบตเตอรีไฮบริด 10 ปี การให้ค่าแรงเช็กระยะฟรี ถึง 5 ปี และการรับประกันมูลค่ารถยนต์ไฮบริดในอนาคต (Guaranteed Future Value)”
นอกจากนี้ Toyota ยังได้เตรียมแพคเกจทางเลือก ไว้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นชุดแต่ง TRD Sportivo สำหรับลูกค้าที่ต้องการความแตกต่างอย่างมีสไตล์ และแพคเกจประกันภัยระยะยาว ผ่านโปรแกรม Convini Insure ที่รวมประกันภัยระยะยาว 3 ปี และแพคเกจบำรุงรักษา 5 ปีเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนี้ ลูกค้าสามารถผ่อนชำระรวม ในค่างวดได้ หรือประกันภัยแบบขับน้อย จ่ายน้อย (Pay As You Drive Insurance) ที่จะตอบโจทย์ลูกค้าที่ใช้รถน้อยอีกด้วย”
เลือกเป็นเจ้าของ All-New CAMRY 4 รุ่น 7 สี พร้อมสีภายในสองสี (คือ สีดำ และสีเบจ)
สำหรับราคา All-New Camry มีดังนี้
รุ่น 2.5 HV Premium เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,799,000 บาท
รุ่น 2.5 HV เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,639,000 บาท
รุ่น 2.5G เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,589,000 บาท
รุ่น 2.0G เกียร์อัตโนมัติ ราคา 1,445,000 บาท
(สำหรับสีพิเศษ Platinum White Pearl เพิ่มเงิน 10,000 บาท)
***โดย ราคาดังกล่าว เป็นราคารถยนต์พร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่ผลิตจากโรงงาน รวมราคาชุดอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ
ร่วมสัมผัสและทดลองขับ The All-New CAMRY ได้ที่โชว์รูมผู้แทนจำหน่ายโตโยต้า กว่า 470 แห่งทั่วประเทศ
ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน เป็นต้นไป และศูนย์ทดสอบขับรถ Toyota Driving Experience (บางนา กม.3)
พิเศษพร้อมรับ Premium Travel Case (มีจำนวนจำกัด)