ทำไมฝรั่งเศส จึงเป็นประเทศแห่ง แบรนด์หรู? ตอนที่ 1 /โดย ลงทุนแมน
“ฝรั่งเศส” หากนำคำๆ นี้ไปเติมท้ายคำว่าอะไรก็ตาม
จะกลายเป็นนิยามถึงความหรูหราในทันที
ภาษาฝรั่งเศส อาหารฝรั่งเศส แฟชั่นฝรั่งเศส
ทั้งหมดล้วนมีความนัยที่สื่อถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัว
ความหรูหรา และศิลปะการใช้ชีวิตที่มีความละเมียดละไม
เช่นเดียวกันกับแบรนด์ฝรั่งเศส
ทั้งเสื้อผ้า กระเป๋า น้ำหอม ไปจนถึงเครื่องสำอาง
แม้หลายแบรนด์จะมีอายุมากกว่า 100 ปีแล้ว
แต่แบรนด์ฝรั่งเศสยังคงเป็นสัญลักษณ์ของความพิถีพิถัน มีนวัตกรรมเฉพาะตัว
และมี Story ที่ไม่มีใครเทียบได้
เบื้องหลัง Story ของแบรนด์ฝรั่งเศสมีจุดเริ่มต้นมาจากไหน?
ขอเชิญนั่งลง แล้วลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ.2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ยินดีต้อนรับเข้าสู่ซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ตอน ทำไม ฝรั่งเศส จึงเป็นประเทศแห่ง แบรนด์หรู?
คนฝรั่งเศสชื่นชอบศิลปะ มีความชาตินิยมสูง
และภูมิใจในประวัติความเป็นมาของชาติตัวเองมากประเทศหนึ่ง
ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกๆ ในยุโรปที่มีการรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น
ความมั่นคงยาวนานทำให้ชนชั้นปกครองมีทั้งเงินและเวลามาอุปถัมภ์งานศิลปะ
ดินแดนแห่งนี้ดึงดูดศิลปิน นักคิด และนักเขียนทั่วยุโรปมาตั้งแต่ยุคกลาง
โดยมีกรุงปารีส เป็นแม่เหล็กหลอมรวมศิลปะทุกแขนง
ราชสำนักฝรั่งเศสก้าวขึ้นมามีอำนาจสูงสุดในยุโรปภาคพื้นทวีปช่วงศตวรรษที่ 17
ภายใต้การปกครองของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ฝรั่งเศสมีกองทัพที่น่าเกรงขาม และก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของยุโรป
ศิลปะการใช้ชีวิตที่ละเมียดละไม
ถูกนำเสนอผ่านสถาปัตยกรรมอันอลังการของพระราชวังแวร์ซาย
เครื่องเรือนเครื่องใช้อ่อนช้อยงดงามแบบโรโกโก
และหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “การแต่งกาย”..
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นผู้ริเริ่มการนำวิกมาสวมศีรษะ และใส่รองเท้าส้นสูง
มาดาม เดอ ปอมปาดัวร์ สนมเอกของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15
ทุ่มเงินมหาศาลไปกับน้ำหอมเพื่อปิดซ่อนกลิ่นอันไม่พึงประสงค์
และริเริ่มการสวมเสื้อคลุมยาว กระโปรงสุ่มไก่ หรือ Robe à la Française
พระนางมารี อังตัวเนตต์ ราชินีในพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
เป็นผู้ริเริ่มทรงผมที่มีความสูงถึง 60 เซนติเมตร
สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้การแต่งกายแบบฝรั่งเศส กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหรูหรา
และเป็นแม่แบบให้ชนชั้นสูงทั่วทั้งยุโรปเจริญรอยตาม
แต่ความหรูหราจนเกินพอดี ท่ามกลางสถานะการคลังที่เข้าขั้นล้มละลาย
ท้ายที่สุดก็นำมาสู่การปฏิวัติฝรั่งเศส ที่ล้มล้างระบอบกษัตริย์ลงในปี ค.ศ. 1789
ภายหลังการปฏิวัติ ฝรั่งเศสวุ่นวายอยู่กับการประท้วงหลายต่อหลายครั้ง
การปกครองประเทศก็สลับกันไปมาระหว่างกษัตริย์กับประธานาธิบดี
หลุยส์ นโปเลียน หลานลุงของจักรพรรดินโปเลียนโบนาปาร์ต
เป็นบุคคลที่ประชาชนเลือกตั้งให้เป็นประธานาธิบดีในปี ค.ศ. 1848
แต่ด้วยความที่กฎหมายไม่ให้ดำรงตำแหน่งซ้ำสอง
หลุยส์จึงยึดอำนาจรัฐบาลตัวเองแล้วสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดินโปเลียนที่ 3
ปกครองฝรั่งเศสในช่วงปี ค.ศ. 1852 - ค.ศ. 1870 ในประวัติศาสตร์ไทยจะตรงกับช่วงรัชกาลที่ 4
เพื่อป้องกันการประท้วงและล้มล้างรัฐบาล
จักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ได้รับสั่งให้บารอนโอสส์มานน์ เปลี่ยนผังเมืองของปารีสใหม่
ทุบตึกเก่าแก่ทิ้ง ปรับถนนหนทางให้กว้างขวาง สร้างจัตุรัส
เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจตราการซ่องสุมของผู้คนได้
ผลที่ได้ กรุงปารีสกลายเป็นเมืองที่มีผังเมืองสวยงาม มีจตุรัสกว้างใหญ่
มีถนนกว้างขวางที่มีต้นไม้ขนาบสองข้าง ตึกริมถนนถูกออกแบบให้ใหญ่โต และเป็นรูปแบบเดียวกันทั้งเมือง
ถนนหนทางที่กว้างใหญ่ดึงดูดชนชั้นสูงให้เดินทางสะดวกสบายด้วยรถม้า
ตึกรามบ้านช่องที่สวยงามดึงดูดช่างตัดเสื้อทั่วยุโรปให้มาเปิดร้านในปารีส
เกิดห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของกรุงปารีส คือ Le Bon Marché ในปี ค.ศ. 1852 ซึ่งเป็นแหล่งรวมสินค้าแฟชั่นที่สำคัญ
การปฏิวัติฝรั่งเศสทำให้ชนชั้นกลางที่มีฐานะ เช่น กลุ่มพ่อค้า วิชาชีพ สามารถเข้าถึงการแต่งกายแบบชนชั้นสูง ทำให้สินค้าแฟชั่นที่เคยจำกัดอยู่แต่ในแวดวงชั้นสูง จึงเริ่มแพร่หลายและเป็นที่นิยมในหมู่คนทั่วไป
แต่ลูกค้าคนสำคัญที่สุด คือ จักรพรรดินีเออเฌนี เดอ มอนตีโค พระชายาของจักรพรรดินโปเลียนที่ 3
พระนางเป็นผู้นำแวดวงแฟชั่นฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 เป็นแรงผลักดันให้เกิดโรงเรียนสอนการออกแบบเสื้อผ้าชั้นสูง ESMOD ซึ่งก่อตั้งโดยช่างตัดเสื้อส่วนพระองค์ Alexis Lavigne
นอกจากนี้พระนางยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดแบรนด์แฟชั่นมากมาย
ซึ่งกลายเป็นตำนานของแบรนด์หรูมาจนถึงปัจจุบัน..
Louis Vuitton
ในปี ค.ศ. 1854 Louis Vuitton นักออกแบบหีบใส่ของได้เปิดร้านขายกระเป๋าเดินทางของตัวเอง
ที่สร้างชื่อจากการคิดค้นกระเป๋าเดินทางสี่เหลี่ยมที่ด้านบนเรียบ
ในยุคที่มีแต่คนทำกระเป๋าเดินทางที่ด้านบนเป็นทรงมน
ด้วยความที่ผู้คนสมัยนั้นยังเดินทางด้วยรถม้า และเนื้อที่ในรถม้ามีจำกัด
กระเป๋าเดินทางทรงเหลี่ยมสามารถมาแก้ปัญหาในจุดนี้ได้
เพราะกระเป๋าทรงเหลี่ยมสามารถวางซ้อนกันได้ ทำให้ประหยัดเนื้อที่ได้มากกว่า
นอกจากนั้น ยังมีการประดิษฐ์ตัวล็อกที่ป้องกันการสะเดาะกุญแจสำหรับกระเป๋า ทำให้กระเป๋าของ Louis Vuitton ได้รับความนิยมอย่างสูง
จนในที่สุด Louis ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นช่างทำกระเป๋าส่วนพระองค์ของจักรพรรดินีเออเฌนี เดอ มอนตีโค
Hermès
กิจการนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ. 1837 โดย Thierry Hermès
ลูกครึ่งเยอรมันที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในฝรั่งเศส
แรกเริ่มบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตอานม้าสำหรับชนชั้นสูง
ซึ่งก็ประสบความสำเร็จและได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย
จนในปี ค.ศ. 1880 Thierry ได้ส่งกิจการต่อให้กับลูกชาย Charles-Émile Hermès ซึ่งเขาได้มีการปรับธุรกิจเป็นขายปลีกและย้ายมาเปิดร้านใหม่หรูหราบนถนน Faubourg Saint-Honoré
หลังจากนั้นไม่นาน Hermès ได้ให้กำเนิดกระเป๋าเพื่อแบกสัมภาระไปกับการเดินทางบนหลังม้าอย่าง
Haut à Courroies ซึ่งกลายเป็นรากฐานของกระเป๋า Hermès หลายต่อหลายรุ่นในเวลาต่อมา..
นอกจากการมีลูกค้า และมีสถาบันการออกแบบแล้ว
อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของแฟชั่นฝรั่งเศสก็คือ “การปฏิวัติอุตสาหกรรม”
การปฏิวัติอุตสาหกรรม คือการนำเครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานมนุษย์
มีจุดเริ่มต้นจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ ก่อนจะขยายไปยังอุตสาหกรรมในภาคส่วนอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก
การปฏิวัติอุตสาหกรรมเริ่มต้นที่อังกฤษ ก่อนจะแพร่มาเบลเยียม
และฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ 3 ที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม ซึ่งตรงกับสมัยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3
แต่ฝรั่งเศสต่างจากอังกฤษ และเบลเยียม คือ ฝรั่งเศสไม่มีแหล่งแร่เหล็ก และถ่านหินมากนัก
สิ่งที่ฝรั่งเศสมุ่งพัฒนาอย่างมากก็คือ “อุตสาหกรรมสิ่งทอ”
ด้วยความที่สินค้าแฟชั่นฝรั่งเศสเป็นที่นิยมอยู่แล้ว
ฝรั่งเศสจึงเป็นผู้ส่งออกเครื่องแต่งกายสำคัญของยุโรป ทั้งเสื้อผ้า ถุงมือ และผ้าไหม
เกิดโรงงานสิ่งทอมากมายตั้งอยู่รอบกรุงปารีส
ดูเหมือนว่าช่างตัดเสื้อหลายคนกำลังถูก Disrupt ด้วยการปฏิวัติอุตสาหกรรม
แต่ในความเป็นจริง ลูกค้าผู้มีฐานะทั้งหลาย กลับไม่อยากสวมใส่เสื้อผ้าที่ผลิตมาจากเครื่องจักร
เพราะเสื้อผ้าเหล่านี้ขาดเอกลักษณ์ และอาจจะไปซ้ำกับใครก็ได้
วิกฤติครั้งนี้จึงกลายเป็นโอกาสครั้งสำคัญ
ทำให้ช่างตัดเสื้อหลายคนเปลี่ยนกลยุทธ์มานำเสนอเสื้อผ้าที่ตัดเย็บด้วยมือ
และมีการตัดเย็บเฉพาะบุคคล
ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ฝรั่งเศสหลายแบรนด์มาจนถึงปัจจุบัน..
Charles Frederick Worth นักออกแบบชาวอังกฤษ
ผู้ข้ามมาเปิดห้องเสื้อที่ปารีสในปี ค.ศ. 1857
เป็นผู้นำเสนอเสื้อผ้าที่ตัดเย็บด้วยมือ ใช้เนื้อผ้าราคาแพง วัสดุตกแต่งหรูหรา
และเปลี่ยนแฟชั่นจากกระโปรงสุ่มไก่ที่ใส่กันมานาน
เป็นกระโปรงมีหางยาว ลักษณะเหมือนอานม้าเล็กๆ เรียกว่า กระโปรงอาน หรือ Bustle
ซึ่งผลงานการออกแบบของ Worth ก็ดึงดูดลูกค้าคนสำคัญคนเดิม คือจักรพรรดินีเออเฌนี เดอ มอนตีโค
รวมไปถึงเหล่าคนในแวดวงชั้นสูงและนักธุรกิจ
แต่นอกจากรูปแบบเสื้อผ้าและการตัดเย็บแล้ว
อีกสิ่งหนึ่งที่ Worth เปลี่ยนแปลงก็คือ “วิธีการนำเสนอ”
จากเดิมที่ลูกค้าจะเป็นผู้แนะนำแบบของเสื้อผ้าให้กับช่างตัดเสื้อ
เขาจะเปลี่ยนวิธีการนำเสนอให้เป็นรูปแบบใหม่
รูปแบบที่จะเปิดม่านกรุงปารีสให้กลายเป็นศูนย์กลางแฟชั่นของโลกในศตวรรษที่ 20
และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของวิชาชีพการตัดเย็บเสื้อผ้าชั้นสูง
หรือที่ภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า โอตกูตูร์ (Haute Couture)
และ โอตกูตูร์นี่เองที่จะนำไปสู่สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน บนโลกนี้
นั่นก็คือ..
“การเดินแฟชั่นโชว์”
เตรียมพบกับซีรีส์บทความ “Branding the Nation” ปั้นแบรนด์ แทนประเทศ
ทำไมฝรั่งเศส จึงเป็นประเทศแห่ง แบรนด์หรู? ตอนที่ 2 ได้ในสัปดาห์หน้า..
╔═══════════╗
ชอบบทความแบบนี้ ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้
เศรษฐกิจโลก 1,000 ปี พิมพ์ครั้งที่ 6
อยากรู้ความเป็นไปของเศรษฐกิจโลก ต้องเข้าใจอดีต
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงประวัติเศรษฐกิจโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1100 ไล่ยาวไปจนถึง ค.ศ.2019
สั่งซื้อได้ที่ (ซื้อตอนนี้มีส่วนลด 10% จากราคาปก 350 บาท)
Lazada : https://www.lazada.co.th/products/1000-i714570154-s1368712682.html
Shopee : https://shopee.co.th/product/116732911/6716121161
╚═══════════╝
ติดตามลงทุนแมนได้ที่
Website - longtunman.com
Blockdit - blockdit.com/longtunman
Facebook - ลงทุนแมน
Twitter - twitter.com/longtunman
Instagram - instagram.com/longtunman
Line - page.line.me/longtunman
YouTube - youtube.com/longtunman
References
-https://www.nationalgeographic.com/history/magazine/2016/09-10/daily-life-france-fashion-marie-antoinette/
-https://www.metmuseum.org/toah/hd/wrth/hd_wrth.htm
-https://edition.cnn.com/travel/article/le-bon-marche-paris-department-store/index.html
-http://www.esmod.com/en/content/history
-ฉัตรทิพย์ นาถสุภา, ประวัติศาสตร์การปฏิวัติอุตสาหกรรมเปรียบเทียบ
-ประวัติศาสตร์แฟชั่น, ศาสตราจารย์ ดร.พรสนอง วงศ์สิงห์ทอง
同時也有10000部Youtube影片,追蹤數超過2,910的網紅コバにゃんチャンネル,也在其Youtube影片中提到,...
「marie antoinette fashion」的推薦目錄:
- 關於marie antoinette fashion 在 ลงทุนแมน Facebook 的最佳解答
- 關於marie antoinette fashion 在 胡至宜 Facebook 的精選貼文
- 關於marie antoinette fashion 在 L'Oréal Professionnel 萊雅專業沙龍美髮 Facebook 的最讚貼文
- 關於marie antoinette fashion 在 コバにゃんチャンネル Youtube 的最佳貼文
- 關於marie antoinette fashion 在 大象中醫 Youtube 的精選貼文
- 關於marie antoinette fashion 在 大象中醫 Youtube 的最佳貼文
marie antoinette fashion 在 胡至宜 Facebook 的精選貼文
每年的五月是一年最重要的月份,這個幾乎呈現著末日景象的世界現況,若是沒有母愛的支撐,或許早已徹底瓦解。獻給每一位將生命無私付出的母親,母親節快樂!
PPAPER Fashion 五月份 第44期
立即購買雜誌➠➠➠ http://goo.gl/jIndW2
立即訂購線上雜誌➠➠➠http://goo.gl/ZsTngx
GIRLS
WE RUN THIS MOTHA
風格母女檔
也許是萬物出生的法則,女性的生產創作力和主宰力在被忽視了那麼多世紀以來,依舊不放棄地試圖掙出一片天,以親密性和情緒性的特質一代又傳一代,好像媽媽傳給女兒私藏,而那些著名於世界並令人眩目的母女,總是以一種另類的方式,繆思著世人的創意,間接改變了社會和世界現象,它是關於心,關於愛。五月時分,我們將本期獻給所有帶著女兒共同出頭的母親。
其他精彩單元 ─
美麗會遺傳 酷媽媽與酷女兒
ROITFELD.PARADIS & DEEP.HALL &JAGGER.MARIA THERESA & MARIE ANTOINETTE.居里夫人…
低齡時尚顯學
第30屆Hyères festival耶爾國際時尚攝影藝術節特別報導
CAROLINE DE MAIGRET
獨家私密專訪新巴黎女指標
#CarolineDeMaigret
marie antoinette fashion 在 L'Oréal Professionnel 萊雅專業沙龍美髮 Facebook 的最讚貼文
有人稱從事美髮行業的人為髮型師、造型師、設計師... 但, 當一種技術走到極致時, 他們已經晉升為名符其實的藝術家了! 小編今天分享給大家萊雅專業沙龍美髮 « 髮藝師 Odile Gilbert » 帶來的2012的春夏最新潮流趨勢【極致髮藝極致奢華 - 巴黎' 繡髮雙色】
今年的春夏趨勢融入法國文化的代表 - 高級訂製服以及華服背後的推手, 他們以無比精準與細緻的手工匠藝,對流行趨勢帶來巨大的影響,並讓服裝成為一們藝術。我們希望能就由本次的趨勢推廣極致匠藝, 他們是隱身於時尚華服背後的無名英雄。我們同時也向表現極致匠藝的髮型師致敬,他們打造如同精緻布料的髮絲,展現其獨特才華。
髮絲猶如最精美的織物,充滿了無限可能,仰賴專業設計師的巧手,打造出如同藝術品一般的髮型。
今年夏天,優雅質感的浪潮將再一次席捲流行前線!
She started her career in 1975, first as an assistant to the famous hairstylist Bruno Pittini, in his salon and studio. Working along with Pittini allowed her to meet celebrities and work on fashion shows and advertising photo shoots.
In 1982, she moved to New York and started working for fashion and beauty editorials in famous fashion magazines with big photographers such as Richard Avedon, Helmut Newton, Herb Ritts, Irving Penn, Steven Klein, Peter Lindbergh, Jean-Baptiste Mondino and Paolo Roversi, among others. Renowned fashion and perfume houses, such as Calvin Klein, Lancôme, Giorgio Armani and Jean-Paul Gaultier, entrusted her with styling the hair of models in their advertising campaigns. Her best known work was on fashion shows, on which she worked in tight co-operation with the designers, in some cases for many years.
In 2000, she opened her own agency in Paris, l‘Atelier (68), to manage her career and also represent new talents in the beauty industry.
In 2003, she published Her Style, Hair by Odile Gilbert, prefaced by Karl Lagerfeld. In 2005, Sofia Coppola called upon her to do the art direction of the main character of her movie, Marie-Antoinette, played by Kirsten Dunst.
In 2006 she received from Renaud Donnedieu de Vabres, the French Minister of Culture and Communications, the honorable insignia of Chevalier des Arts et des Lettres. To date, she is the only female hairstylist with this honour.
In 2007, the Costume Institute of the Metropolitan Museum of New York bought for their permanent collection one of the top hats made of natural hair she created for Jean Paul Gaultier's Haute-Couture AW 2006 show.
In France , the government has awarded the Chevalier des arts et des lettres distinction to visionaries including writer William S. Borroughs , composer Philip Glass, director Tim Burton, dancer Randolph Nureyev .. and hairstylist Odile Gilbert. If you haven’t heard her name before, you probably don’t work in beauty or fashion, but there’s a reason she’s the only of two hairstylists to have received this honor. Gilbert’s fanciful creations have made her a favorite of fashion powerhouses( including Karl Lagerfeld and JP Gaultier) , photographers ( Richard Avedon and Irving Penn were family) , and the coolest young designers (Jason Wu and the Mulleavy sisters of Rodarte). But weather she’s painting hair with 24 karat gold, sculpting it with mud and clay, or attaching feathers so practically every strand on a model’s head, her styles are still flattering. “You never want someone to look or feel weird”, says Gilbert. “I’m able to see this because it’s my job ,and because I’m a girl” .
That last bit is more novel than you might think. Gilbert is the only top female hairdresser backstage at the fashion shows. In a world were most of the big names are boys, Odile is a legendary presence that has opened many doors for other women hairstylists.
Away from the runways, she’s styled some of the biggest beauty ads for the likes of Lancôme and Chanel, as well as Kirsten Dunst elaborate looks in Marie Antoinette (Gilbert meant for them to resemble pastries, and worked in a diamond-and-roby necklace, which she says it’s the most over-the-top materials she’s used to date.) Her avant-garde style has even been displayed in museums. The Metropolitan Museum of Art’s Costume Institute in NYC bought a hat that Gilbert made out of hair for Gaultier’s runway, and she fashioned 50 hadpieces out of butterflies, flowers, and shells for the designer’s retrospective. (THE EXHIBIT WILL TRAVEL TO THE Dallas museum of Art in November.)