📢 โอกาสดีๆ เผื่อใครสนใจมาฟัง 👉🏻เรื่องการสมัครเรียนต่อด้านกฎหมายที่ประเทศสหรัฐอเมริกา👈🏻
📆 วันที่ 19 พฤศจิกายน
⏰ เวลา 18:00 - 20:00 น.
📍 The American hu, US Embassy ตึก GPF วิทยุ
.
.
⚖️ เพื่อเป็นการร่วมฉลองสัปดาห์การศึกษานานาชาติ #IEW2020 มาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการสมัครเรียนต่อด้านกฎหมายที่อเมริกาจากงานสัมมนา “Legal Education in the U.S. : JD and LLM Applications” วันที่ 19 พฤศจิกายนนี้ เวลา 18:00 - 20:00 น. โอกาสในการพูดคุยโดยตรงกับคุณพิณไพเราะ ธีรเนตร ศิษย์เก่าโครงการฟุลไบรท์ที่จบการศึกษาจาก Harvard Law School พร้อมตัวแทนมหาวิทยาลัยจากโรงเรียนกฎหมายที่ University of Connecticut และ University of Nevada, Las Vegas ลงทะเบียนเข้าร่วมฟังฟรี!
.
.
⚖️ To celebrate #IEW2020, let’s learn more about the admission process for law schools in the U.S. from our Info Session on “Legal Education in the U.S. : JD and LLM Applications” on November 19th, 2020, from 18:00 - 20:00hrs. Get a chance to meet Khun Pinpairoh Dhiranetra, an alumna from Harvard Law School and virtually talk with representatives from the University of Connecticut and the University of Nevada, Las Vegas. Pre-register for FREE!
https://fb.me/e/3QpDxx34e
「harvard law school admission」的推薦目錄:
- 關於harvard law school admission 在 Facebook 的最佳貼文
- 關於harvard law school admission 在 โปรแกรมเมอร์ไทย Thai programmer Facebook 的最讚貼文
- 關於harvard law school admission 在 How I Got Into Harvard Law School | How to Craft an ... 的評價
- 關於harvard law school admission 在 Harvard Law School - Cambridge, MA - Facebook 的評價
harvard law school admission 在 โปรแกรมเมอร์ไทย Thai programmer Facebook 的最讚貼文
เรียนต่อโทที่ฮาวาร์ดแบบคนทำงานแล้ว
โดยคุณ ปรเมศวร์ มินศิริ
ถ้าอยากเรียนต่อที่ฮาร์วาร์ดแบบคนทำงานแล้ว ต้องทำยังไงบ้าง?
-------------------------------------------------------
โพสต์นี้ขอทิ้งทวนครับเพราะมีคนที่อยากให้เล่าให้ฟังเรื่องนี้ด้วย และเนื่องจากวันนี้เป็นวันสุดท้ายของคอร์สในเทอมนี้ ซึ่งผมเพิ่งพรีเซนต์ Final project จบไปแล้วเรียบร้อยทำให้ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมมันดูเร็ว เพราะการเรียนในภาคฤดูร้อนแบบเข้มข้นจะต่างจากการเรียนในเทอมปกติคือ เนื้อหาวิชาและชั่วโมงเรียนเท่ากันทุกอย่าง แต่เทอมปกติคือ Fall กับ Spring จะเรียนสัปดาห์ละหนึ่งวัน เป็นเวลาราวๆ 4 เดือน แต่ทีผมเรียนนี่คือวิชาเดียวเรียนสัปดาห์ละ 4 วัน ก็จะปิดคลาสได้ในเวลาราวๆหนึ่งเดือนน่ะครับ
พรุ่งนี้ผมก็จะออกจากหอแล้วย้ายไปพักที่แถวๆ Harvard Square เพื่อสำรวจแถวๆนี้ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ให้เรียบร้อยก่อนที่จะบินกลับกรุงเทพในคืนวันจันทร์ มีนัดหมายมากมายรออยู่ต้องขออภัยทุกท่านที่ให้รอด้วยนะครับ
เมื่อกี้ผมโทรกลับไปหาคุณแม่ทางไลน์เหมือนทุกวัน แต่วันนี้ผมได้ยกมือไว้ท่านประหลกๆผ่านจอแล้วบอกท่านว่า ขอบคุณคุณแม่มากที่ช่วยเลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็กจนได้มีโอกาสมาทำอะไรเยอะแยะมากมาย และการได้มาที่นี่ก็เป็นประสบการณ์ที่ดีอีกครั้งนึงของชีวิต
"ขอบใจมากลูกที่มาเกิดในท้องนี้นะ" คุณแม่ผมบอกยิ้มๆ พร้อมน้ำตาชื้นๆที่ตาทั้งสองข้าง
ที่ผมทำคือโทรมาหาท่านทุกวันโดยไม่ต้องเล่าเรื่องของตัวเองมาก แค่โทรมาถามว่าวันนี้คุณแม่ทานอะไร ออกไปไหนมาบ้างไหม แล้วก็ฟังท่านคุยอย่างเดียว เรื่องของเรื่องคือท่านอายุมากแล้ว และท่านจำไม่ได้หรอกครับว่าผมเรียนอะไร ที่ไหน เคยบอกไปแล้วท่านก็ดูไม่ค่อยจะเข้าใจ ได้แต่ถามว่าโตป่านนี้แล้วจะเรียนไปทำไม
-----------------------------
คิดยังไงถึงมาเรียนต่อ? (เอาป่านนี้)
-----------------------------
ประเทศไทยและโลกตอนนี้กำลังเข้าสู่ยุคดิจิตัลอย่างเต็มตัว กระแสการขับเคลื่อนองค์กรด้วยดิจิตัลเทคโนโลยี ได้เข้ามารุกรานในทุกภาคส่วน กิจการทั้งภาคเอกชนและภาครัฐจะต้องมีการปรับตัวกันขนานใหญ่เพื่อความอยู่รอด Digital Disruption นั้นต้องสู้ด้วย Digital Transformation คือการปรับองค์กรเพื่อเข้าสู้กับกระแสใหม่ของโลก
ในประเทศไทยเรามีโปรแกรมเมอร์, วิศวกรซอฟต์แวร์ เก่งๆอยู่มาก ซึ่งก็ยังไม่พอต่อความต้องการของกระแสคลื่นสึนามิดิจิตัลลูกนี้ที่กำลังถาโถมเข้ามาอย่างแน่นอน แต่จากที่ผมได้เห็นปัญหาของวงการนี้อย่างหนึ่งคือ เรายังต้องการผู้บริหารที่มองเห็นภาพใหญ่ของการออกแบบระบบดิจิตัลนี้อยู่ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเรากำลังสร้างระบบที่ผู้ใช้ต้องการจริงๆ และผู้บริหารคนนี้จะต้องเข้าในความต้องการของผู้ใช้, เป้าหมายขององค์กร และ มีความเข้าใจด้านเทคนิคที่จะทำงานกับคนไอที, Software Engineer, Programmer และ Data Scientist ได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่พยายามศึกษาการเขียนโปรแกรมและหลักสูตรต่างๆผ่านทางเว็บออนไลน์อีกหลายแห่ง ลองเรียนด้วยตนเองอยู่สองสามปี ผมก็ยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ จึงตั้งเสาะหาว่ามีที่ไหนบ้างที่ผมจะศึกษาหาความรู้ด้านนี้ได้อย่างจริงๆจังๆจนกระทั่งเมื่อต้นปีที่แล้วจึงตัดสินใจว่าจะเรียนต่อที่นี่ในที่สุด
------------------------------
ถ้าไม่กล้าเข้าถ้ำเสือ ก็ไม่ได้ลูกเสือ
------------------------------
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี คศ. 1636 คือมีมาก่อนประเทศอเมริกาจะเกิดถึง 140 ปี หลายคนคงจะทราบว่ามหาวิทยาลัยชั้นนำที่นี่ส่วนใหญ่เป็นมหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งมีค่าเล่าเรียนที่แพงมาก และมีเครือข่ายผู้ที่จบการศึกษา (Alumni) ที่มีอิทธิพลมากในหลายวงการ มหาวิทยาลัยเหล่านี้จึงเข้ายากเพราะนอกจากเขาจะคัดนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเลิศแล้ว ยังดูความพร้อมอีกหลายๆอย่างทั้งทางด้านสังคม, กิจกรรม, และความสามารถในการจ่ายค่าเล่าเรียนที่สูงได้จนจบ แปลง่ายๆว่าผมเข้าทางประตูหน้าไม่ได้แน่ๆต่อให้สมัครมาด้วยอายุ, ผลการเรียนที่ผ่านมา, คอนเนคชั่นที่ไม่มีเอาเลย โอกาสที่ได้แทบจะเป็นศูนย์
--------------------
The Gates Unbarred
--------------------
มหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้มีทางเข้าทางเดียว เนื่องจากนี่มี School ที่สามารถให้การศึกษาในระดับปริญญาได้ถึง 12 โรงเรียน โรงเรียนที่ดังมากๆอย่าง Harvard Business School, Harvard Law School และอีกหลายๆที่นั้นอย่างผมเข้าไม่ได้อยู่แล้ว ผมจึงมาเลือกสมัครเข้าที่ Harvard Extension School เพราะตอบโจทย์หลายอย่างได้แก่
มีสาขาวิชาที่ผมต้องการเรียนพอดี ผมเลือกเรียนในระดับปริญญาโทสาย IT ด้าน Digital Media Design ซึ่งพอเช็คดูรายชื่อวิชาแล้วถูกใจมาก และมีให้เลือกค่อนข้างเยอะ ทำให้เราเลือกลงวิชาที่เราสนใจและหาเรียนที่อื่นๆได้ยากไว้ก่อน การรับสมัครเข้าศึกษาเหมาะสมกับคนทำงาน เพราะเป็นการศึกษาแบบผู้ใหญ่ที่สอนภาคค่ำ และสามารถเข้าเรียนทางออนไลน์ได้ เวลาค่ำของที่นี่คือเช้ามืดของบ้านเรา ก็ลงตัวสามารถเรียนได้โดยไม่กระทบกับงานประจำมากนัก
แต่การเรียนของที่นี่ไม่ได้เป็นแบบเรียนออนไลน์อย่างเดียว ผู้เรียนจะต้องมานั่งเรียนที่มหาวิทยาลัยด้วย ซึ่งแต่ละสาขาวิชาจะบังคับให้มาเรียนมากน้อยไม่เหมือนกัน เช่น การจบปริญญาโทจะต้องลงทั้งหมด 48 หน่วยกิต คือ 12 วิชา คนที่ลงเรียน Management, Finance, กับ Biotechnology จะต้องมานั่งเรียนที่มหาวิทยาลัยถึง 4 วิชา หรือ 1 ใน 3 ของวิชาเรียนทั้งหมด บางสาขาอาจบังคับที่ 3 หรือ 2 วิชาตามลำดับ ส่วนสาขาที่โชคดีคือบังคับให้มานั่งเรียนแค่ 1 วิชา คือด้าน IT, Creative writing และ Journalism ทั้งนี้ทางมหาวิทยาลัยไม่ไ้ด้บังคับให้เรียนออนไลน์ทุกคน มีเพื่อนหลายคนที่มานั่งเรียนทุกวิชาเลยก็มีเยอะครับ
-------------------
Academic Standing
-------------------
การเรียนที่นี่ถ้าเลือกลงเป็นรายวิชา หรือ เลือกแบบประกาศนียบัตร สามารถทำได้เลยครับ แต่ถ้าต้องการเรียนต่อในระดับปริญญาโทจะมีขั้นตอนการทำ Admission ซึ่งเปิดเป็นรอบๆ และมีกติกาที่แตกต่างกันไปในแต่ละสาขาวิชาที่ต้องการจบ แต่มีกติกาหลักคล้ายๆกันคือ จะต้องแสดงความสามารถในการเรียนตอนนี้ให้เขาเห็น ไม่ได้ดูที่ผลการเรียนที่ผ่านมาของเรา และมีหลายสาขาซึ่งมีการสอบด้วยอย่างของสาย IT จะต้องผ่านการทดสอบ Test of Critical Reading and Writing Skills เพื่อวัดทักษะในการอ่านและเขียนของเรา (ผมว่าสอบอันนี้ยากจริงๆ) และนักเรียนต่างชาติจะดูคะแนนสอบ IELTS ที่ 7.0 ขึ้นไปด้วย นอกนั้นก็จะต่างกันไปในแต่ละสาขาแต่มันคือการลงวิชาที่เป็น Gate keepers ของเขาและทำเกรดให้ได้ตามเกณฑ์ราวๆ 3 วิชาเพื่อนำผลไปทำ Admission พร้อมกับเขียน Personal Statement เป็น Essay เพื่อเล่าประสบการณ์และแรงจูงใจของเราว่าทำไมเราถึงอยากมาเรียนที่นี่ เพื่อให้กรรมการได้พิจารณา
ความสามารถในการเรียนที่ทางนี้ต้องการคือ จะต้องสามารถรักษาระดับเกรดไว้ได้ที่ 3.00 ขึ้นไป หากเทอมไหนพลาดทำเกรดเฉลี่ยได้ตกลงมาต่ำกว่า 3.00 จะต้องดึงกลับขึ้นมาให้ได้ในเทอมหน้า ถ้าทำไม่ได้จะถูกให้ออกเลยครับ แปลว่าเราจะต้องทำคะแนนแต่ละวิชาให้ได้ B ขึ้นไป
การตัดเกรดที่นี่ ตัด B ที่ 84% นะครับ ตัด A ที่ 90% แปลว่าทุกวิชาจะต้องทำคะแนนให้ได้สัก 85% ถึงจะถือว่าอยู่ในมาตรฐานที่ทางมหาวิทยาลัยพอใจ
การจัดเวลาเรียนก็สำคัญ ทางมหาวิทยาลัยแนะนำว่าให้เตรียมเวลาเพื่อการทำงานราวๆ 3-5 เท่าของวิชาที่เรียน จากประสบการณ์ที่ผมลองบางวิชานี่ใช้เวลาเกิน 5 เท่าก็มีครับ เช่น หากเรียนสัปดาห์ละสองชั่วโมง ทุกสัปดาห์อาจารย์จะให้งานซึ่งเราจะต้องใช้เวลาทำส่ง ราวๆ 6-10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ งานที่ว่านี้รวมถึงหนังสือที่ให้อ่าน ตั้งแต่จำนวนเป็นสิบหน้าจนถึงบางวิชาเจอเป็น 100 หน้าต่อสัปดาห์ก็มี และงานเขียนของที่นี่จะเยอะมาก เคยเจอวิชาที่เทอมนึงเขียนร่วม 100 หน้ามาแล้วปั่นกันมือหงิก และอาจารย์กับผู้ช่วยสอนก็จะตรวจละเอียดกันมากคืออ่านทุกอย่างที่เราเขียนไปและส่วนใหญ่จะให้คอมเมนต์ที่ดีและละเอียดมาก
ที่นี่จะมีศูนย์ Writing center ให้ไปใช้ได้เทอมละ 10 ครั้ง เขาจะจ้างนักศึกษาปริญญาเอก มาคอยช่วยให้คำปรึกษาเรา โดยเราต้องเข้าไปจองคนและเวลาจะเป็นรอบๆละ 50 นาที เมื่อจองได้แล้วเราก็ต้องส่งดราฟต์งานเขียนของเราเข้าไป พอถึงเวลาเขาจะให้คำปรึกษาเพื่อช่วยพัฒนางานเขียนของเราได้อีกด้วย
โดยสรุปคือ ที่นี่จะตั้งมาตรฐานการศึกษาสูงมาก เนื้อหาที่เรียนจะหนักและได้อ่านและเขียนเยอะมากทุกสัปดาห์ สิ่งที่ยากไม่น้อยกว่าการเข้ามาคือการจบออกไปให้ได้ เพราะต้องรักษาระดับคะแนนและยังต้องทำวิทยานิพนธ์หรือ Capstone Project ด้วยอีกราวๆหนึ่งปีก่อนจบการศึกษา
------------------------
Academic Opportunities
------------------------
นอกจากการลงโทษแล้วก็ยังมีแรงจูงใจให้อีกด้วย ถ้าใครที่เรียนแล้วครึ่งหนึ่งคือ 24 หน่วยกิตแล้วได้เกรดเฉลี่ย 3.5 ขึ้นไป จะสามารถขอสถานะ Special Student ได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก สถานะนักเรียนพิเศษนี้ทำให้เราไปขอลงทะเบียนเรียนในโรงเรียนอื่นๆของฮาร์วาร์ดได้ด้วย ซึ่งจะมีกติการะบุเอาไว้ เหมาะกับคนที่อยากจะไปนั่งเรียนร่วมกันเพื่อนๆในคลาสที่โรงเรียนอื่นๆอย่างเช่น Harvard Graduate School of Arts and Sciences ที่เปิดเรียนมาในตอนกลางวันนี่ก็จะเจอนักเรียนทีละหลายพันคนน่าจะคึกคักมาก
ส่วนผมนี่เรียนไปจนจะครบหมดแล้วได้เกรดเฉลี่ยที่ 3.63 อยากไปเรียนร่วมกับน้องๆเหมือนกัน แต่นี่ก็ยังไม่กล้าพอที่จะไปนั่งเรียนรวมกับเด็กๆ ฮาาาา
แต่ที่ผมสนใจมากคือการใช้สิทธิ Special Student ในการขอเข้าใช้ Harvard Innovation Lab ซึ่งเป็นอาคารที่ดูทันสมัยใหญ่โต ข้างในนอกจากจะมีพื้นที่ทำงานให้กับบรรดา Startup ในนี้แล้ว ยังมีโอกาสสมัครเข้าร่วมโครงการบ่มเพาะสตาร์ทอัพ หรือของบประมาณสนับสนุนได้อีกด้วย แต่ที่ผมสนใจคือการหาเพื่อนๆมาร่วมผลักดันแนวคิดให้มันเกิดขึ้นจริงได้มากกว่า
---------
คุ้มค่าไหม?
---------
ผมตั้งโจทย์ไว้ตั้งแต่แรกว่าอยากมาหาความรู้ด้านดิจิตัลเทคโนโลยี จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เพื่อนำความรู้ไปใช้สองทาง หนึ่งคือนำกลับไปพัฒนาบ้านเรา และสองคือ เพื่อเปิดโอกาสใหม่ๆในต่างประเทศ ตอนนี้ผมมาจนถึงโค้งสุดท้ายแล้ว ความรู้ที่ได้มาจากที่นี่ก็ถือว่าคุ้มค่ามากกับความทุ่มเทที่เราต้องให้ลงไป แต่ที่ได้มาเพิ่มเติมก็คือความขยัน, รอบคอบ, ความเป็นมืออาชีพที่มากขึ้น จากการขัดเกลาอย่างดุเดือดของมาตรฐานที่นี่ ท่านที่อ่านจนมาถึงตรงนี้หากสนใจและมีคำถามอยากจะสอบถามเพิ่มเติมก็เชิญได้เลยนะครับ หวังว่าบทความนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อคนที่สนใจอยากมาศึกษาต่อที่นี่โดยเฉพาะคนที่ทำงานอยู่แล้วบ้างไม่มากก็น้อยครับ
ปรเมศวร์ มินศิริ
12 กรกฎาคม 2562
harvard law school admission 在 Harvard Law School - Cambridge, MA - Facebook 的推薦與評價
Harvard Law School is one of the professional graduate. ... Its acceptance rate was 15.4% in the 2013–14 admissions cycle, and its yield rate of 66.2% was ... ... <看更多>
harvard law school admission 在 How I Got Into Harvard Law School | How to Craft an ... 的推薦與評價
... <看更多>